บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก 2009

ลักษณะร่วมของคนที่เป็นมหาเศรษฐี 12 ประการ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร กรุงเทพธุรกิจ วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

บทความนี้ผมรับมาจาก หลักทรัพย์เกียรตินาคิน ได้อ่านแล้วค่อนข้างชอบเลยละครับ แล้วลองหาๆ ดู แล้ว เห็นว่า น่าจะมาจาก โลกในมุมมองของ Value Investor : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร กรุงเทพธุรกิจ วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 ซึ่งการจากการอ่านเมล์นี้ นับว่าสมกับเป็น VI ขั้นเทพจริงๆ เลยขอเอามาให้อ่านดูนะครับ วิถีมหาเศรษฐี W. Randall Jones เขียนหนังสือชื่อ The Richest Man In Town โดยการสัมภาษณ์และวิเคราะห์คุณสมบัติ นิสัย แนวความคิด ปรัชญาการใช้ชีวิต และอื่น ๆ ของคนที่รวยที่สุดในเมืองต่าง ๆ ของอเมริกาจำนวน 100 คน เขาพบลักษณะร่วมของคนที่เป็นมหาเศรษฐี 12 ประการ มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง ไม่หาเงินเพื่อเงิน การทำอย่างนั้นคุณจะไม่ได้เงิน เงินจะมาก็ต่อเมื่อคุณทำในสิ่งที่ถูกต้อง และด้วยวิธีที่ถูกต้อง ทำในสิ่งที่คุณรักและมีความหลงใหลที่จะทำ คุณต้องทำในสิ่งที่มีคุณค่าเป็นประโยชน์ แล้วเงินจะมาเอง มันเป็นผลพลอยได้ ในมุมของ VI หรือนักลงทุนเน้นคุณค่า ผมคิดว่ามันถูกต้องตรงกัน อย่าลงทุนแบบจ้องหาหรือหมกมุ่นกับผลตอบแทนเกินไป มีความสุขกับการลงทุน ทำหรือเลือกลงทุนอย่างถูกต้อง เงินจะมาเอง รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร รู

ภาวะตลาดโลกกับอนาคตที่มองเห็นและผู้รู้อนาคตจากกระทู้ต่างๆ

ที่ผ่านๆมา ผมได้พูดถึงแต่ตลาดหุ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นในบ้านเรา แต่ความจริงเราอยู่ในโลกระบบเศรษฐกิจแบบทุนิยม ซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจส่วนใหญ่ที่เกือบทุกประเทศใช้ในเวลานี้อยู่ ซึ่งตลาดหุ้นบ้านเรานั้นเล็กมากเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในโลกนี้ เรียกว่าเล็กจนไม่อาจมีอำนาจต่อเศรษฐกิจโลกสักเท่าไร จึงเกิดเป็นอย่างนี้อยู่บ่อย เช่น ตลาดฝั่งอเมริกา เด้งแรงๆ บ้านเราก็จะเด้งแรงๆด้วย ตัวอย่างเมื่อวานนี้ ดาว์โจน ทะลุ 10000 ครั้งแรกในรอบเกือบปี เหมือนกัน บ้านเราก็เลยได้อานิสง เด้งตามด้วย แม้จะไม่ทะลุ 700 จุด ก็ตาม (แม้ความจริงควรเป็น 800 ก็ตาม) แต่ก็ทำหุ้นที่พักฐานมา สัปดาห์กว่าๆ ได้วิ่งกันบ้าง จะมีนานๆ ทีที่ตลาดหุ้นไทยจะเป็นตัวของตัวเอง เช่นลงสวนกับภูมิภาคหรือโลก แต่ก็นับเป้นโอกาสที่น้อยมากที่จะเกิดได้ ซึ่งก่อนวันนี้ ผมก็กังวลเหมือนกันจากการตัดสัมพันธ์ทางการฑูตกับกัมพูชา นึกว่า อย่างไร หุ้นต้องตกกันเละแน่ แถมยังไปนั้งอ่านพวกตามบอร์ดหุ้นต่างๆ (ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่ชอบ ปชป) แล้วก็สาปแช่งว่า พร่งนี้ชิบหายกันแน่ พวกดีๆหน่อย ก็บอกว่า กัมพูชา กับ บ้านเรานั้นค้าขายกันน้อย บางก็หากันตลอดว่า บ. อะไรทำธุรกิจใน กัมพูชาบ้า

PANIC SELL การตกใจขาย และ ข่าวลือ

เขียนไว้เพื่ออธิบายคำศัพท์และปรากฎการณ์ช่วงนี้หน่อยนะครับ 2 วันนี้ ดัชนีหุ้นไทย SET Index ตกรวมๆกันไม่ต่ำกว่า 30 จุด (ยังไม่เปิดตลาดรอบบ่าย) แต่เมื่อวานสังเกตุได้ว่า Volum แน่นหนา 4หมื่นล้าน และหุ้นตกมาก ทำให้เห็นได้ถึงสัญญาณ PANIC SELL ในตลาดหุ้นไทย PANIC SELL เป็นการตกใจขาย กับสาเหตุที่เกิดขึ้น ไม่ว่าเกิดจากข่าวจริง หรือข่าวลือ เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ในตลาดหุ้นหลายครั้ง เช่น 911 หรือ วันที่ธนาคารกลางแห่งประเทศไทยประกาศใช้การสำรองการแลกเปลี่ยน แต่สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง เห็นจริง เป็นข่าวจริง ส่วนข่าวลือนั้น โดยนิยาม เป็น เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่มีใครยืนยัน หรือแหล่งข่าวไม่ยืนยันว่าเป็นความจริง แต่ในบางครั้งสิ่งที่เป็นข่าวลือนั้น อาจไม่เกิดขึ้นจริง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็ยังไม่จัดเจนทำให้บรรยากาศอารมณ์กลัวครอบงำการซื้อขาย ทำให้เกิด การ PANIC SELL อย่างต่อเนื่องได้ สิ่งทีเกิดขึ้น อาจเกิดโดยไม่ต้องตัวทั้งนักลงทุก ระยะยาว ระยะสั้น ใครเล่นสั้น อย่างไร ก็ ขาดทุนครับ ขนาดผมว่า แนวรับผมแน่นมากแล้ว ยังร่วงจนตกใจเหมือนกัน สุดท้าย ข่าวลือในตลาดนั้นเกิดขึ้นทุกวัน บางจริงบางเท็จบาง ส่งผลกระ

รู้จักตลาดหมี กระทิง

คำเปรียบเปรย ว่าตลาดหลักทรัพย์นั้น มีอยู่สัตว์สองตัวที่ใช้เปรียบเปรยคือ หมี กระทิง ซึ่งบางคนบอกว่า ภาวะการซื้อขายในตลาดมีลักษณะเหมือนนิสัยสัตว์ 2 ชนิดนี้ ตลาดหมี คือ หมีที่เชื่องช้าตบหนักสาหัสปางตาย ใช้เวลาภาวะตลาดหุ้นตกหนักๆ หรือ ตลาดหุ้นมีมูลค่าการซื้อขายน้อยมากจน คนบอกเหมือนหมีจำศีล ตลาดกระทิง คือ กระทิงแข็งแรงปราดเปรียว ว่องไว วิ่งไล่แทงตลอด ใช้เปรียบเทียบสภาะตลาดที่มีการซื้อขายคึกคัก มูลค่าซื้อขายวิ่งไม่หยุดในแต่ละวัน เหมือนกับกระทิงไล่ขวิด ซึ่งที่สำคัญคือ ตลอดเวลา หมี และ กระทิง เป็นของคู่กันเหมือน ขาวกับดำ หยิงหยาง ในประวัติศาสตร์การลงทุนของโลกนี้ ไม่เคยมี ตลาดไหน เป้นหมีตลอดเวลา หรือ เป็นกระทิงตลอดเวลา มีแต่สลับๆ กันไปตลอดเวลา ซึ่งบางคนไม่เข้าใจในสัจธรรมในข้อนี้ ทำให้เจ็บตัวล้มตาย เพราะ หมี และ กระทิงมาเยอะแล้ว การที่เราสามารถเข้าใจถึงสภาพวะ หมี หรือ กระทิงได้ ก็จะทำให้เราสามารถปรับกลยุทธ์ในการลงทุนได้ และสามารถทำให้เรามีการลงทุนได้มีประสิทธิภาพตามช่วงเวลานั้นๆ นะครับ

รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ไม่มีแพ้แน่นอน

รู้เขารู้เรา เป็นคำกล่าวของซุนวู ผู้เขียนตำราพิชัยสงคราม ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ทุกโอกาส ในปัจจุบันมีคำว่า SWOT ซึ่งเป็นหลักการค้นหา จุดอ่อน จุดแข็ง โอกาส ข้อเสียเปรียบ ซึ่งนิยมใช้กับทางธุรกิจ เมื่อเราอยากลงทุน สิ่งที่เราต้องรู้ก่อนคือ เรา เรามีความสามารถอะไรบ้าง เรามีรายได้เท่าไร เรามีแหล่งรายได้อะไรบ้าง เรามีรายจ่ายเท่าไร เรามีภาระค่าใช้จ่ายที่จำเป็นอะไรบ้าง เรามีเงินออมเท่าไร และ เราเหมาะสมกับการบริหารเงินออมเราแบบไหน ซึ่งถ้ารู้เราก่อน ก็จะบอกได้ว่าเรามีต้นทุนอยู่ไหน และเหมาะสมกับอะไร ซึ่งการลงทุนแต่ละแบบนั้น ก็มีสภาพการลงทุนแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับว่าเรามีความสามารถอะไร เงินทุนเท่าไร และมีโอกาสไหม บางคนเหมาะสมกับการลงทุนทางตรง คือ ลงทุนค้าขายเอง เป็นโรงงานเอง เป็นตน บางคนมีการงานประจำอยู่แล้ว ไม่กล้าใช้ตัวเองเป้นเจ้าของกิจการ ก็ สามารถลงทุนทางอ้อมได้ ไม่ว่าซื้อ ทอง หุ้น ก็อย่างน้อยก่อนทำไรอยากให้รู้ตัวเองก่อนว่าทำไรได้ไม่ได้ เพื่อให้เหมาะสมกับสิ่งที่เราทำลงไปนะครับ

นักลงทุนหลักทรัพย์กับการขาดทุน

ความเป็นจริงอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นจริงกับการลงทุนคือ ไม่ว่าเราจะศึกษาวิเคราะห์หุ้นมาแค่ไหนแต่เราก็ไม่สามารถรู้อนาคตได้ ซึ่งสิ่งนี้เป็นความเสี่ยงที่เราต้องหาวิธีจัดการ ทุกศาสตร์การวิเคราะนั้นสอนให้เรารู้จักทรัพย์ให้ดีที่สุด เพราะพร่งนี้ หุ้นจะเป็นอย่างไร ก็ยังไม่มีใครตอบได้ แต่เราสามารถทราบแนวทางได้ว่าบริษัทนี้จะมีแนวโน้มอย่างไรต่อไป ถ้าแนวโน้มดีก็อาจส่งผลให้หุ้นที่เราถืออยู่นั้น มีโอกาสราคาสูงขึ้น เรื่องความไม่แน่นอนในตลาดหุ้นแต่ Warren Buffet ก็เคยขาดทุน พวก ดร.ทางการเงินก็เคยขาดทุน หรือผู้บริหารกองทุน ก็เคยขาดทุน แม้แต่ ผู้บริหารกองทุนระดับไหนในโลกนี้ ก็เคยขาดทุนทั้งนั้นละครับ แม้ผมเองที่ชอบเรียกให้คนอื่นมาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์และบอกว่าไม่เคยขาดทุน ก็ยังเคยขาดทุนครับ แต่อย่างพวกนักลงทุนที่ผมกล่าวมาคือ เค้าขาดทุนแค่บางช่วงเวลา แต่เมื่อคำนวณออกมาแล้ว ตลอดช่วงชีวิตการลงทุน ก็กำไรมากกว่าขาดทุนครับ คนที่ขาดทุนอยู่ก็ขอให้รู้ไว้ว่าคุณไม่ได้อยู่คนเดียวในโลกการลงทุนแห่งนี้ สักวันคุณต้องกำไรแน่ แต่ต้องเลือกลงทุนให้ถูกวิธีนะครับฃ แม้เราไม่สามารถรู้อนาคต หรือ ควบคุมการเคลื่อนไหวของตลาดได้ แต่สิ่ง

เวลาหลังตลาดหุ้นปิด

ช่วงนี้ผมกลับมาสู่ตลาดหุ้นแบบเกือบเต็มตัวอีกครั้ง หลังหันหลังให้มาหลายปีมากตั้งแต่ ปี 48 ซึ่งกลับมางวดนี้ตอนนี้ หวังว่า คงกลับไปดีดตัวเหมือนช่วงปี 45-46 อีก สิ่งที่เราซื้อขายกันในเวลา 9.30-17.00 นั้น เมื่อเลยเวลานั้น ตลาดหุ้นก็ปิด แต่ในความเป็นจริงประเทศไทยไม่ใช่ประเทศเดียวทีมีตลาดหุ้น อีกทั้งตลาดประเทศเราก็เล็กน้อยมาก ถ้าเทียบกับตลาดในเอเชีย ยุโรป และ อเมริกา ที่สำคัญนโยบายเศรษฐกิจต่างๆ ที่สำคัญกับโลกเรานั้น มักมาหลังตลาดหุ้นปิด เช่น การประกาศนโยบายดอกเบี้ยของ ธนาคารกลางสหรัฐ รายงานการเติบโตหรือถดถอยต่างๆ จากประเทศต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่มาหลังตลาดบ้านเราเปิด เพราะ เวลาที่ต่างกัน วันนี้ผมลงมาตอน ตี1 ดู CNBC ก็ได้บรรยากาศสมัยหัดเล่นหุ้นแรกๆ ที่ลงมาดูว่า ตลาดดาวโจนส์เป็นอย่างไรบ้าง มีข่าว STEVE JOBS ซึ่งหน้าตาโทรมมาก โดยธุรกิจที่เป็นชั้นแนวหน้าของโลก นั้นมีหุ้นอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ของอเมริกา ซึ่งทำให้เรารู้ว่าแต่ละอุตสาหกรรมมีแนวโน้มอย่างไร แม้ตอนนี้เรายังไม่สามารถหอบเงินออกไปลงทุนที่ต่างประเทศได้ แต่ข่าว แนวโน้ม นั้นมีผลอย่างแน่นอนต่อตลาดหุ้นของเราวันรุ่งขึ้น ไม่ว่าข่าวจากยุโรป สหรัฐ หรือ เอเ

สภาพคล่องหุ้น

ในตลาดหลักทรัพย์เวลาเรานั้นจะเลือกซื้อหรือลงทุนในหุ้นตัวไหน สิ่งหนึ่งที่สำคัญมากอีกอย่างคือ มูลค่าการซื้อขาย หรือ จำนวนหุ้นที่มีการซื้อขายในแต่ละวัน ซึ่งเรียกอีกอย่างว่าสภาพคล่องของหุ้น การหลังจากดูปัจจัยพื้นฐานแล้วให้ ถ้าเกิดว่าดี ซึ่งเป็นเรื่องแปลกอย่าง บริษัทที่ปัจจัยพื้นฐานดีตามหลักน้กลงทุนมูลค่าบ่อยครั้งจะสภาพคล่องไม่ดีด้วย หรือ อาจเพราะนักเก็งกำไรไม่สนใจ ซึ่งการมีสภาพคล่องนั้นดีอย่างไร คือ ซื้อง่ายขายคล่องไม่ต้องมานั้งรอว่าจะขายได้เมื่อไร หุ้นที่มีสภาพคล่องดีๆ ซื้อมาอย่างไรก็ขายได้ง่าย แต่ถ้าสภาพคล่องไม่ดีบางครั้งต้องนั้งรอนานมากกว่าจะขายได้ หรือไม่ก็ช่วงราคาก็ห่างกันมากกว่าราคาหุ้นทั่วไป สำหรับนักลงทุนมูลค่าหรือพวกเน้นเงินปันผล อาจไม่ค่อยรู้สึกถึงความไม่มีสภาพคล่องเท่าไร เพราะเน้นไปที่บริษัทอยู่แล้ว แค่บริษัททำกำไรได้ดี เงินปันผลก็ดี อย่างอื่นคงไม่สนใจอยู่ว่าจะเป็นอย่างไร ในทางตรงกันข้ามพวกนักเก็งกำไรคงไม่ชอบเท่าไรเพราะมันซื้อยากขายลำบาก ซื้อแล้วไม่รู้จะขายได้หรือไม่ แต่หลายๆ ครั้ง ผมกลับเห็นหุ้นพื้นฐานไม่ดีสุดๆ หรือแทบจะเป็นฟื้นฟูกิจการเป็นที่โปรดปรานของนักเก็งกำไรเหลือเกิน สภา

สร้างสมการง่ายในลงทุน

สมการ เป็นอะไรที่เราคุ้นเคยมาตั้งแต่เราเรียนหนังสือตอนเด็กมาแล้ว สมการคืออะไรที่เท่ากัน เช่น 2y = x+6 1+1 = 2 เป็นต้น สมการ เป็นประโยคสัญลักษณ์ที่มีเครื่องหมายเท่ากับ แสดงความเท่ากันของจำนวน 2 จำนวน จาก http://www.thaigoodview.com/library/teachershow/ratchaburi/winai_a/index.html การทำให้เป็นสมการ เพราะง่ายในการตัดสินใจไม่พลาดจากเดิม เท่าไร แบบง่ายให้การซื้อหุ้น ก็ดูว่า เรามีเงินเท่าไร ซื่้อได้กี่หุ้น จำนวนเงิน = ราคาหุ้น * ปริมาณ หรือ ผมอยากสร้างอัตราการ Cut loss ผมก็สร้างให้ออกมาเป็น สมการคณิตศาสตร์เพื่อต่อไป สามารถนำไปใช้ได้ทัน หรืออาจนำสมการนี้ไปใช้ในการเขียนโปรแกรมต่อไปในอนาคต เพื่อ ไม่ต้องมากดเครื่องคิดเลขหลายรอบ ราคา Cutlose = Ps - ( Ps * x% ) Ps คือ ราคาหุ้น x คือ อัตราทีี่เรารับได้ในการตัดขาดทุน ถ้าเราทำอะไรให้เป็นหลักการคณิตศาสตร์ ครั้งต่อไป การตัดสินใจนั้นได้ออกมามาตรฐานเีดี่ยวกันนะครับ

ประโยชน์ของการออม

การออมเงินนั้น ในทางเศรษฐศาสตร์มองว่าเป็นการลงทุนเช่นกัน โดยมีสมการว่า (S = I). การออมเท่ากับการลงทุน เพราะว่า การออมเงินส่วนใหญ่ได้ผลตอบแทนโดยสามารถนำไปลงทุนทางอ้อม เช่น นำเงินออมไปใช้ในการฝาก ซื้อพันธบัตร หรือซื้อกองทุนรวม เงินที่ส่วนใหญ่เราเก็บออมไว้ทางเรานำไปฝากในธนาคารก็ได้รับผลตอบแทนที่เราเรียกว่า ดอกเบี้ย หรือ เงินปันผล ซึ่งเป็นผลประโยชน์ที่เราได้รับจากการออมเงิน เมื่อเรามีเงินออม ก็ เท่ากับว่าเรามีเงินลงทุน ไว้เพื่อให้เงินออมก้อนนั้น เติบโต ออกดอกออกผล นั้นเอง ส่วนอีกข้อหนึ่งคือเงินออมสามารถนำมาใช้ในกรณีฉุกเฉินของชีวิตได้ด้วยครับ ในขณะเดียวกันเราก็นำมันไปจัดการความเสี่ยงด้านนี้ด้วยการไปซื้อประกันชีวิต หรือ ซื้อประกันสุขภาพได้ครับ ผมไม่ได้เป็นคนขายประกันนะครับ แต่อยากให้เพื่อนๆ ได้จัดการทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเงินไว้ให้คอยสนับสนุนในชีวิตของเรานั้นสามารถผ่านไปได้อย่างราบรื่นครับ ส่วนวิธีการออมก็อยากให้ทุกคนเริ่มทำให้เป็นนิสัยนะครับ ทำแรกๆอาจจะยาก แต่ทำไปหลังมันจะเป็นนิสัยเอง แล้วสักวันคุณอาจเข้าใจว่า เงินออมมันสำคัญกับชีวิตเราแค่ไหนนะครับ ผมเขียนวิธีเพิ่มเงินออม http://

คณิตศาตร์ กับ การลงทุน

จากที่ผมเคยบอกเรื่องการลงทุนที่ใช้เหตุผลตัดสินใจไปแล้ว เครื่องมือการนำมาตัิดสินใจที่ดีตัวหนึ่งก็คือ ตัวเลขต่างๆ ซึ่งต่อไปผมคงได้เขียนพวกตัวเลขที่ใช้ตัดสินใจในการลงทุน แต่วันนี้เรามาดูความสำคัญของตัวเลขกับการลงทุนก่อน ความจริงตัวเลขในการลงทุนนั้น อาจเป็นของคู่กันเลย เพราะเวลาเราทำอะไรเกี่ยวข้องกับเงิน ก็จะมีตัวเลขด้วย เพราะ ตัวเงินเป็นอะไรที่สามารถนับได้ ไม่ใช่สิ่งที่นับไม่ได้ เวลาใครทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องเงินๆทองๆ ต้องมีตัวเลขมาเกี่ยวข้องด้วยอยู่แล้ว และตัวเลขนั้นเป็นสิ่งสำคัญเพราะ สารารถบ่งบอกให้เราทราบได้ว่า เรามีการเปลียนแปลงแค่ไหน แล้วเปลี่ยนแปลงอย่างดีหรือไม่ดี เพิ่มขึ้น ลดลงอย่างไร เช่น ได้เงินเดือนเพิ่มขึ้น 500 บาท อัตราดอกเบี้ยเงินฝากลดลง 1% SET Index ปรับตัวขึ้น 10 จุดเป็นต้น ส่วนนี้เป็น การ + - * / ง่ายๆ แต่ก็ทำให้เราทราบสถานะภาพการลงทุนมากขึ้น ซึ่งตัวเลขนั้นบอกเราได้เป็นอย่างดี แม้คณิตศาสตร์ในระดับสูงนั้น สามารถใช้พยากรณ์แนวโน้มต่างๆได้ ก็จริง แต่นั้นหมายถึง ความยากขึ้นของหลักคณิตศาสตร์ สมการที่วุ่นวาน สถิติจำนวนมากที่ชวนงง และ อื่นๆ ที่ยากเหลือเกิน แต่สุดท้ายต้องกลับมาคิดว่

งบการเงิน

ในการวิเคราะห์ทางปัจจัยพื้นฐานเครื่องมือที่ให้ข้อมูลซึ่งที่สำคัญใช้เป็นตัวดูความสามารถในการทำรายได้คือ งบการเงิน งบการเงิน หมายถึง รายงานผลประกอบการทางการเงินของบริษัทซึ่งจัดทำขึ้นตามวิธีการบัญชี โดยเป็นการรายงานกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในรอบระยะเวลาบัญชีหนึ่งๆ จากหนังสือเทคนิคการวิเคราะห์งบการเงินงริษัทจดทะเบียน ปี 2545 โดยส่วนปกติ งบการเงินจะออกเป็นรอบ ไตรมาส หรือ 3 เดือนออกที่ ประมาณ +45 วัน หลังหมดไตรมาสถึงจะประกาศออกมาว่างบการเงินรอบไตรมาสนั้นเป็นอย่างไร งบการเงินใครเรียนพวก บัญชี การเงิน มาคงไม่ต้องอ่านบทความนี้นะครับ เพราะผมคงเหมือนบอกสิ่งที่คุณรู้ดีกว่าผม ในฐานะที่ตัวผมตอนเรียน ปริญญาตรีเรียนบัญชีแค่ตัวเดียว ต้องมาหาความรู้เอง หลังที่ทิ้งไปนานแล้ว ก็คงอธิบายได้แค่ระดับเบื้องต้นเท่านั้น ในการดูหลักทรัพย์ หรือ หุ้น ในงบการเงินเหมือนเป็นต้นบอกว่า บริษัทหนึ่งบริษัทนั้นมีความสามารถทำรายได้ ได้เท่าไร กำไรดีไหม บริษัทใหญ่แต่ความสามารถทำกำไรไม่เหมาะสมเลย เวลาดูงบการเงิน เราก็ควรดูย้อนหลังไปให้มากที่สุด แม้บางคนบอกว่าอาจไม่จำเป็นเพราะอนาคตไม่แน่นอน แต่เรารู้อดีต ก็พอดูแนวโน้มใน

การเลือกแนวทางการวิเคราะห์

มีคนพูดกันเยอะมาก ว่าเราควรใช้การวิเคราะห์แบบไหนดี ซึ่งผมมองว่า การวิเคราะห์แบบไหน ก็ให้ข้อมูลการเลือกลงทุนได้คล้าย ๆ กัน ซึ่งแต่ละการวิเคราะห์นั้น มีจุดเด่น จุดดี แตกต่างกัน วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน เป็นการดูปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้บริษัทนั้นเกิดการเติบโตได้ โดยง่ายๆ คือ ดู งบการเงินของบริษัท วิเคราะทางเทคนิค ดูสถิติ ราคา จำนวนการซื้อขาย ของบริษัทนั้นๆ ว่ามีแนวโน้มการเคลื่อนไหวอย่างไร โดยวิธีใช้คือ ปัจจัยพื้นฐานบอก ตัวหลักทรัพย์ว่าดีหรือไม่ เทคนิค บอก เวลา (Timing) ว่าควรซื้อช่วงไหน โดยวิธีที่ผมใช้คือ ดูว่า หุ้นตัวไหนดี แล้วตั้งเป้าไว้ จากนั้นเค้ามาดูว่าควรซื้อราคาเท่าไรดี เนี่ยละครับ หลักการใช้เทคนิค ส่วนจะให้น้ำหนักกับตัวไหนมากกว่ากัน ก็ ขึ้นอยู่กับว่า คุณอยากเป้นนักลงทุนแบบไหน ระยะสั้น ก็ให้ เทคนิคเยอะๆ หน่อย ระยะยาว ก็ให้ ปัจจัยพื้นฐานมากๆ หน่อย แค่นั้นละครับ ขอแค่ให้เหมาะกับรูปแบบการลงทุนก็พอ หลักการ ทฤษฎี วิชาเป็นของตาย นักลงทุนเป็นของเป็น ตลาดหุ้นเป็นของเป็น ดังนั้น นักลงทุนต้องนำหลักการ วิชา ทฤษฎี มาใช้อย่างพลิกแพลงนั้นครับ ไม่งั้นอย่าหาว่าวิชาที่ตัวเองเรียนรู้มาใช้งานไมได้ แต่อาจเป

ทำไมต้องวิเคราะห์หลักทรัพย์

เคยสงสัยกันบ้างไหมครับว่าทำไมต้องวิเคราะห์หุ้นกัน ทั้งทางปัจจัยพื้นฐาน ทั้งทางเทคนิค หาข้อมูลกันวุ่นวายเพื่อทราบว่าหุ้นตัวไหนดี ทำไมต้องวิเคราะห์หลักทรัพย์ โดยทั่วไปมนุษย์เราการที่เลือกตัดสินใจจ่ายเงินอะไรสักอย่าง ส่วนใหญ่จะใช้เหตุผลมาอ้าง ว่าสิ่งนั้นดี ไม่ดี เหมาะสมหรือไม่ แต่บ้างครั้งอารมณ์อยู่เหนือเหตุผลตลอดเวลาครับ อันนี้ไม่เกี่ยวกับเพศนะครับ ถ้ามนุษย์ใช้่เหตุผลตัดสินใจอย่างเดียวสินค้าบางประเภทคงไม่ได้มีโอกาสเกิดในโลกนี้แน่นอนครับ ปัญหาคือ อารมณ์เอาชนะเหตุผลได้อย่างเป็นประจำ ที่ผมเคยไปอบรมการขายประกัน เค้าบอกไว้ว่า เราใช้เหตุผลเลือกสินค้า แต่ซื้อสินค้าด้วยอารมณ์ เหตุผลที่ผ่านมาไม่จำเป็น กลับมาที่หลักทรัพย์บ้างครับ ก่อนอื่นการวิเคราะห์เนี่ย บอกได้ว่าบริษัีทนั้นเป็นอย่างไร พฤติกรรมหุ้นนั้นเป็นอย่างไร บอกได้ถึงโอกาสที่จะเตืบโตของบริษัีท บอกแนวโน้มที่ควรจะเป็น ฯลฯ ซึ่งมีแนวทางหลัก 2 ประเภท ปัจจัยพื้นฐาน เทคนิค แต่สิ่งที่เราทุกคนถ้าไม่วิเคราะห์ห้นกันเลย เพราะเรามองแค่ ราคาจะขึ้นไหม เท่านั้น อย่างนี้ก เราจึงใช้กันแต่ หลักเค้า คือ "เค้าว่าอย่างนั้น" ไม่พึ่งหลักการ ใช้กันแต่หลัก

Who is Warren Buffet: วอร์เรน บัฟเฟตต์คือใคร

รูปภาพ
วอร์เรน บัฟเฟตต์ ( Warren Buffet ) คือใคร ทำไมเค้าถึงสำคัญกับการลงทุน เค้าว่าใครที่ชอบเดินไปร้านหนังสือในหมวดธุรกิจหรือการลงทุนต้องเคยเห็นหน้าคุณลุงคนหนึ่ง หน้าตาผ่องใส ใส่แว่นกรอบใหญ่ในหนังสือหมวดนี้ นั้นละครับ คือ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ( Warren Buffet ) ผมเ็ห็นหนังสือของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ( Warren Buffet ) ตั้งแต่ผมยังไม่เข้าไปในการลงทุนเลย โดยหนังสือเล่มแรกๆ แปลโดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ซึ่งได้ ยึดถือแนวทางการลงทุนแบบ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ( Warren Buffet ) ด้วยเช่นเดียวกัน โดยในปัจจุบันมีหนังสือของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ( Warren Buffet ) ออกมาหลายเล่มมาก รวมทั้งได้รับการแปลเป็นภาษาไทย (น่าจะมากกว่าตำราสอนลงทุนในหุ้นด้วยซ้ำ) ซึ่งเราสามารถหาอ่านกันได้ง่ายและสะดวกมากในปัจจุบัน วอร์เร็น เอ็ดเวิร์ด บัฟเฟตต์ เกิดเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ. 1930 ที่โอมาฮา, เนบราสกา ประเทศสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันเป็นนักลงทุน,นักธุรกิจชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียงระดับโลก เขาเป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่และซีอีโอของบริษัทเบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์ เขาได้รับการจัดอันดับใ

หลักปรัชญาของการวิเคราะห์แบบเทคนิค

สิ่งที่เป็นหลักความเชื่อและต้องเชื่อสำหรับผู้ที่ต้องการเป็นนักวิเคราะห์ทางเทคนิคหรือใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยเรียกว่าเป็นหลักปรัชญาสำหรับนักวิเคราะห์ทางเทคนิคเลยก็ว่าได้ โดยมีอยู่ 3 ข้อ Market Action Discounts Everything. หมายถึุงราคาหลักทรัพย์ หรือ ราคาหุ้นนั้นจะแสดงผลกับทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็น ข่าว ผลประกอบการ เศรษฐกิจ การเมือง Prices move in trends. การเคลื่อนที่ของราคานั้นจะเป็นไปตามแนวโน้ม(Trend) History repeats itself. ประวัติศาสตร์ต้องซ้ำรอย โดยความเชื่อนี้เปรียบเสมือนสมมุติฐาน อาจจะไม่เกิดขึ้นจริงหรือไม่เป็นไปตามความเป็นจริงเสมอไปก็ได้ แต่เพื่อให้สามารถอธิบายได้ด้วยทางทฤษฎีแล้ว ต้องทำการสมมุติสถานการณ์ หรือตัดตัวแปรที่ไม่จำเป็นทิ้งไป เพื่อให้ง่ายต่อการอธิบาย ซึ่งผมจะอธิบายรายละเอียดแต่ละข้อในครั้งต่อไปนะครับ

แนวรับ แนวต้าน คืออะไร

คำแรกคือในบทความวิเคราะห์ทางเทคนิคคือ แนวรับ แนวต้าน แนวรับ แนวต้าน คืออะไร แนวรับ แนวต้าน เป็นคำที่นักลงทุน นักเล่นหุ้น ได้ยินบ่อยๆ จากนักวิเคราะห์หุ้น หรือ พวกมีความรู้ทั้งหลาย เช่นว่า "ให้รอแนวรับที่ XXX จุด และ ขายที่ แนวต้านแถวๆ XXX จุด" "ถ้าหลุดแนวรับนี้ไปได้ ก็ให้ไปรอแนวรับต่อไป" "แนวต้านนี้แข็งมากๆ คงฝ่าไปยาก" เป็นต้น จากนั้นการหาแนวรับแนวต้านหาจากไหน ตอนผมอบรมที่ NIP มีอาจารย์คนหนึ่งบอกว่า แนวรับอยู่ใจ แนวต้านอยู่ที่เงิน หรือ แนวรับอยู่ทีเงิน แนวต้านอยู่ที่ใจ ไม่แน่ใจเหมือนกัน แนวรับอยู่ใจคือ หุ้นตกแค่ไหน ใจถึงไหมที่จะถือ แนวต้านอยู่ที่เงิน คือ ช่วงนัี้นร้อนเงินไหม ถ้าร้อน ก็ขาย โดยแนวรับ เป็นจุดที่คาดการณ์ว่า หุ้นคงไม่หล่นลงไปมากกว่านี้ ส่วนแนวต้านคือ จุดที่คาดการณ์ว่า หุ้นไม่สามารถฝ่าขึ้นไปได้ จากนั้นเลยมีคำว่า หลุดแนวรับ หรือ ฝ่าแนวต้าน คือ เมื่อหุ้นนั้นสามารถผ่าสิ่งที่เราคิดไปได้ นั้นละครับ สรุปง่ายๆ คือ แนวรับ แนวต้าน เป็น ตัวเลขที่เราสมมุติขึ้นมา แนวรับถ้าอยู่ได้ ก็ให้ซื้อ เพราะน่าจะไม่ตกไปอีกแล้ว แนวต้านถ้าไม่ทะลุ ก็ให้ขาย แล้วไปรอรับข้างล่

แนวรับ แนวต้าน คืออะไร ภาคอ้างอิง

ความหมายที่คนอื่นได้บอกไว้ "แนวรับ รับไว้ไม่ให้ตก" หมายถึง บ่อยครั้งที่ราคาหุ้นได้อ่อนตัวลงมาถึง ระดับน้ทีไร ก็มีแรงซื้อมาช่วยผลักดันให้ราคาหุ้นมีการดีดตัวกลับทุกที หรือ อาจกล่าวได้ว่า ในอดีตที่ผ่านมา มีความต้องการซื้อเกิดขึ้น เมื่อราคามาถึงระดับนี้ "แนวต้าน ต้านไว้ไม่ให้ขึ้น" หมายถึง บ่อยครั้งที่ราคาหุ้นได้ขึ้นมาถึง ระดับนี้ทีไร ก็มีแรงเทขายออกมากดให้ราคาหุ้นมีการอ่อนตัวลงไปทุกที หรือ อาจกล่าวได้ว่า ในอดีตที่ผ่านมา มีความต้องการขายเกิดขึ้นมา ณ ระดับนี้ จาก http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/I3618490/I3618490.html แนวรับรับไว้ไม่ให้ตก หมายถึง บ่อยครั้งที่ราคาหุ้นได้อ่อนตัวลงมาถึง ณ ระดับนี้ทีไร ก็มีแรงซื้อเข้ามาช่วยผลักดันให้ราคาหุ้นมีการดีดตัวกลับขึ้นไปทุกที หรืออาจจะกล่าวได้ว่าในอดีตที่ผ่านมา มีความต้องการซื้อเกิดขึ้น เมื่อราคามาถึงระดับนี้ แนวต้านต้านไว้ไม่ให้ขึ้น หมายถึง บ่อยครั้งที่ราคาหุ้นได้ขึ้นมาถึง ณ ระดับนี้ทีไร ก็มีแรงเทขายออกมากดให้ราคาหุ้นมีการอ่อนตัวลงไปทุกที หรืออาจจะกล่าวได้ว่า ในอดีตที่ผ่านมา มีความต้องการขายเกิดขึ้นมา ณ ระดับนี้ จาก h

การวางแผนเรื่องของรายรับกับรายจ่ายป้องกันอาการสิ้นเดือนเหมือนสิ้นใจ

คืนวันศุกร์ต้นเดือนนั้นเป็นช่วงที่จราจรนั้นติดขัดเสมอมากมาย ไปตามห้างสรรพสินค้าก็นับเป็นช่วงที่คนมากเหลือเกินหรือร้านอาหารที่ดัง คนก็จะแน่นในคืนวันศุกร์ เป็นความเคยชินของมนุษย์เงินเดือนโดยส่วนใหญ่ โดยเฉพาะวันที่เงินเดือนออก แล้วช่วงไหนที่ไม่ค่อยใช้จ่าย เหมือนก่อนแม่ผมชอบร้องเพลง สิ้นเดือนเหมือนสิ้นใจ เงินหมดสิ้นไปในวันสิ้นเดือน ก็ทำให้เห็นภาพของมนุษย์เงินเดือนได้ชัดเจนอีกรูปแบบหนึ่ง เรามาพูดถึุงการบริหารเงินครับ ปกติ ในช่วงวันเงินเดือนออก เรามักใช่จ่ายมากกว่าปกติ เพราะหลายปัจจัย เช่น ปลายเดือนทีแล้วกินแต่มาม่า เิงินเดือนออกชอฉลองหน่อยแล้วกัน เงินมาแล้ว ไปฉลองกัน อยากได้ ไอ้นั้น มาตั้งแต่เดือนทีแล้วละ เงินเดือนออกไปซื้อดีกว่า ฯลฯ เห็นไหมครับ อันนี้เหมือนกับเราไม่มีคำว่า วินัยทางการเิงิน คือ มีเงินเท่าไร ก็ใช้ไปเต็มตามอรรถภาพที่มี มีเยอะก็ใช้เยอะมีน้อยก็ใช้น้อย ไม่มีก็ไม่ใช้ หรือ หนักที่สุด คือ ไม่มีก็ไปกู้เค้า เห็นได้ว่า ถ้าเราใช้ชีวิตแบบนี้ไม่ว่า จะกี่เดือนๆ ก็ตาม ก็เป็นสิ้นเดือนเหมือนสิ้นใจ ตลอดทุกเดือนครับ สิ่งที่มนุษย์เราลืมนึกไปว่า รายได้มีวันเดียว แต่รายจ่ายมีทุกวัน อันนี้คือความจ

เทคนิคการออม จากชีวิตผม

ปัจจุบันนี้ไม่ทราบว่าเรามีเงินออมกันหรือไม่ครับ ถ้าพรุ่งนี้เราโดนไล่ออกจากงาน หรือ เราไม่สามารถหาเงินได้อีกไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง หรือเกิดป่วยขึ้นมากระทันหัน ทำอย่างไร "ในปี 2545 อัตราการออมร้อยละ 6.3"อ้างอิงจาก http://news.sanook.com/education/education_169634.php "เมื่อสิ้นปี 2549 แล้วการออมในภาคครัวเรือนจะมีสัดส่วนประมาณไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับ GDP"อ้างอิงจาก http://www.fpo.go.th/S-I/Source/Article/Article57.htm แสดงให้เห็นว่า คนไทยมีอัตราการออมที่ต่ำมากในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งในแง่ของภาคครัวเรือนนั้นปํญหาคือ ถ้าเกิดในกรณีฉุกเฉินจะหาเงินที่ไหนมาใช้จ่าย ซึ่งในกรณีนี้ ก็เป็นส่วนหนึ่งในการทำให้เกิดหนี้สิน อันนี้คือเรื่องการจ่ายเงินให้ตัวเอง อย่างในหนังสือ The Richest Man in Babylon ได้กล่าวไว้ คนเรามักเคยตัว ว่ารายได้ที่ได้มานั้นต้องใช้ให้หมด อาจจะจริง แต่ต้องอย่าลืมจ่ายให้ด้วยนะครับ วิธีที่ง่ายที่สุดและผมเคยใช้มาตั้งแต่สมัย ม.ปลาย คือ จ่ายให้กับการออมตั้งแต่ได้เงินมา ผมเริ่มออมเงินครั้งแรกตอน ม .6 ครับ อาจจะช้าไปสำหรับคนบางคน แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้เริ่มทำ เงินก้อนแร

The Richest Man in Babylon หนังสือดีที่อยากให้อ่าน

The Richest Man in Babylon เป็นนิยาย วรรณกรรมที่พูดเกี่ยวกับด้านใช้เงินไว้เยอะครับ เป็นหนังสือเกี่ยวกับการบริหารเงินส่วนบุคคลที่ผมชอบมากที่่สุด และน่าเป็นหนังสือเล่มเดียวที่ผมอ่านเกิน 5 รอบ เพราะอ่านแล้วมันช่วยย้ำเตือนความจำเสมอ โดยแปลเป็นไทยหลายครั้ง พิมพ์ซ้ำก็หลายครั้งเปลี่ยนชื่อบ้างแต่ก็ให้หาชื่อภาษาอังกฤษไว้แล้วกันนะครับเพราะมันเไม่เคยเปลียน สิ่งที่พูดในหนังสือเล่มนี้ คือ การใช้เงินที่ได้มาในการทำสิ่งที่ทำให้ตนเองนั้นมีความมัี่งคงขึ้น เข่นการออมเงิน การลงทุนแบบยุคโบราณ หรือความจริงของสินทรัพย์กับรายได้ที่เรามี หนังสือเล่มนี้ใช้วิธีเล่าเรื่องผ่านตัวละครช่วงต่างๆว่า เริ่มจากมีหนี้บ้าง เริ่มจากเป็นทาสบ้าง แต่ในที่สุดเค้าใช้ความเข้าใจว่ารายได้ที่ได้มานั้นไม่ได้ตกมาจากท้องฟ้า แต่เป็นการบริหารรายได้ที่ถูกต้องของเราต่างหาก หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่ทุนนิยมสุดโต่ง จะมองว่าเป็นเศรษฐกิจพอเพียงก็น่าจะได้ สิ่งที่พูดแล้วทำให้ได้คิดมีประโยชน์ คือ "ทุกวันนี้เราไม่เคยจ่ายเงินที่เราได้มาให้ตัวเราเองเลย เราจ่ายเงินให้คนอื่นหมด ถ้าเจ้าต้องการเสื้อเจ้าต้องจ่ายเงินให้คนขายเสื้อ เจ้าต้องการอาหารเจ้าก็จ่า

อิสรภาพทางการเงินคำนี้ที่ปรารถนา

อิสรภาพทางการเงิน คำนี้เป็นที่ปรารถนาของที่ยังไม่มีฐานะร่ำรวย ทุกคนที่ยังทำงานอยู่หรือเป็นมนุษย์เงินเดือนยังต้องพึ่งพาเงินจากรายได้รูปแบบต่างๆ ที่เรายังต้องลงมือทำเองอยู่ เช่น เงินเืดือน การค้าขาย เป็นต้น บางคนอาจไม่รู้จักว่าคืออะไร ผมจะบอกตามความเข้าใจของผมแล้วกัน ผมรู้จักคำว่า อิสรภาพทางการเงิน ครั้งแรกตอนปี 2544 จากหนังสือ พ่อรวยสอนลูก (Rich Dad, Poor Dad) เขียนโดย Robert T. Kiyosaki เป็นครั้งแรกที่ได้อ่านและยอมรับว่าหนังสือเล่มนี้ได้ให้ความคิดใหม่ๆ จากในตอนนั้น เช่น การทำงานเพื่อเงิน อิสรภาพทางการเงิน และอื่นๆ อีกมากมาย เป็นหนังสือเล่ม หนึ่งที่อยากให้อ่าน และควรอ่าน อย่างน้อยได้มีแนวคิดการบริหารเงินในกระเป๋า หรือจัดการเรือ่งการเงินส่วนบุคคล ได้ดีขึ้น ชัดเจนขึ้น หลักจากนั้นคำว่า อิสรภาพทางการเงิน ก็เริ่มเป็นที่รู้จักแพร่หลายมากขึ้น การทำงานโดยปกตินั้น ไม่ใช่ทุกคนได้ทำงานที่ตัวเองชอบ หรืองานที่ตัวเองชอบบางครั้งไม่สามารถเลี้ยงดูตัวเราและครอบครัวได้ ซึ่งทำให้เราต้องทำงานเพื่อรายได้อยู่ นั้นคือ เรายังไม่เป็นอิสรภาพทางการเงิน อิสรภาพทางการเงินคือ คุณมีอิสระจากการหาเงินเช่น คุณไม่ต้องทำงา

ชีวิตผมกับ cut lose

ผมเคยไปอบรมคอร์สการลงทุนของสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทยในโครงการ NIP2 ชื่อเต็มว่า New Investors Program 2 ภาษาไทยคือ โครงการนักลงทุนรุ่นใหม่ รุ่นที่2 เมื่อ ตุลาคม 45 ซึ่งเรียกว่าเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุดในชีวิตการลงทุนผมเลย ถ้าไม่มีโครงการนี้ ผมอาจเป็นแค่แมงเม่า และคงโดนไฟเผาตายไปตั้งแต่เริ่มลงทุน สัก 2 ปีแรกละ ซึ่งที่นี้เป็นที่ให้คำว่า ตัดขาดทุน หรือ cut lose โดยที่จำแม่น คือ อาจารย์หลายสำนักให้คำนี้ไว้ตรงกัน โดยมี อาจารย์ดร.นิเวศ เหมวชิรวรากร เขียนหนังสือหลายเล่มมาก อาจาย์วิกรม ซึ่งเป้นนักลงทุนแนวพื้นฐานทั้งคู่ อีกท่านจาก กิมเอ็ง เคยเป็นแพทย์มาก่อนผมจำชือ่ท่านไม่ได้ แต่ท่านเป้นอาจารย์คนแรกที่สอนเรื่อง เทคนิค ได้ให้พื้นฐานเต็มที่ ได้แนะนำหนังสือ ของ จอน เจ เมอฟีี่ ในผม ซึ่งผมได้ใช้ตลอดมาจนปัจจุบัน (อีกเล่มผมจำไมไ่ด้) แม้เวลาผ่านไปนานมากแล้ว เกือบ 8 ปี ชีวิต ความทรงจำ ความรู้ รวมทั้งความฝันในตอนนั้นได้หายไปมากแล้ว แต่สิ่งที่ยังฝังหัวในเรื่องความรู้่ในการลงทุนเรื่องหนึ่ง คือ cut lose แม้อาจารย์แต่ละท่านแตกต่างแนวทางการลงทุนและมองการตัดขาดทุนต่างกัน แต่ทุกคนให้รู้จัก cut lose หรือ ตัดขาดทุน

ความเสี่ยงในการลงทุนคือเพื่อนร่วมทางคุณตลอดไป (3): Cut lose is The best

พูดเรื่องความเสี่ยงมาก 2 บทความแล้ว คราวนี้ผมจะมาพูดถึงวิธีจำกัดความเสี่ยงในการลงทุนให้นะครับ จากกรณีความเสี่ยงด้านไม่ดีที่จะเกิดขึ้นในบทความที่ 1 ที่ผมได้กล่าวไว้ ผมขออนุญาติตัดกรณี -100% ทิ้งไปก่อนนะครับ แม้ความเสียหายรุนแรงสุดแต่โอกาศเกิดก็น้อยมากครับ โอกาสเกิดคือ บริษัทล้มละลาย ซึ่งก็ควรดูให้ดีๆนะครับ เราสามารถดูได้จากงบการเงินบริษัทไว้อธิบายในโอกาสต่อไป ก็เหลือ ถ้าหุ้น - 5 % เป็น 9,500 บาท เรารับความเสี่ยงนี้ได้ไหม ถ้าหุ้น - 10% เป็น 9,000 บาท เรารับความเสี่ยงนี้ได้ไหม ถ้าหุ้น -50% เป็น 5,000 บาท เรารับความเสี่ยงนี้ได้ไหม นั้นละครับ ความจริงอาจต้องแตกแยกกว่านี้อีก ให้ได้ครบทุกกรณี แต่ผมจะให้คุณคิดว่า ความยอมรับผลการขาดทุนได้มากขนาดไหนก่อน มีเงินอยู่ 10,000 บาท ยอมขาดทุนเท่าไร แล้วค่อยมาดูกันว่าวิธีจำกัดความเสี่ยงคืออะไร ........................................................ ........................................ ........................... .................. ........... ..... . คิดว่าน่าจะได้คำตอบกันแล้ว วิธีการจำกัดความเสี่ยง หลายคนอาจรู้จักแล้ว แต่ถ้ายังไม่รู้จัก ก็เรียกว่า

ความเสี่ยงในการลงทุนคือเพื่อนร่วมทางคุณตลอดไป (2): What is risk

ความเสี่ยงนั้น เป็นสิ่งที่พูดกันในเกือบทุกวงการ ตั้งแต่ เศรษฐศาสตร์, IT, แพทย์, การเมือง จนถึง หมอดู มีคนเคยสอนผมไว้ว่า เมื่อเริ่มลงทุนความเสี่ยงจะเป็นเพื่อนร่วมทางคุณตลอดไป แต่ผมคิดว่าชีวิตมนุษย์เจอความเสี่ยงทุกนาที ผมนั้งพิมพ์ blog อยู่ทีบ้าน อาจมีรถ 10 ล้อ เบรกแตกวิ่งมาชนก็ได้ หรืออาจมีเครื่องบินตกใส่หลัีงคาบ้านก็ได้ นี้ก็เป็นความเสี่ยงหรือเรียกชัดๆ อีกอย่างคือ ความซวย ความซวยในมุมมองผม คือ ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นกับชีวิตในด้านไม่ดี มีกฏอธิบายเช่น กฏของเมอร์ฟี่ (Murphy's law) เป็นต้น ส่วนโชคนั้น ส่วนใหญ่ก็ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นกับชีวิตในแง่ดี ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีคนจัดการเท่าไรแต่ความจริง มันสามารถจัดการได้ ลองอ่านหนังสือของ คุณ บัณฑิต อึ้งรังษี ดูสิครับ ดีมาก แต่ ส่วนใหญ่ ถ้านักวิชาการ ผู้บริหารต้องจัดการความเสี่ยงแง่ไม่ดี หรือความซวย ไว้ก่อนเพราะถ้าเกิดขึ้นแล้วส่งผลกระทบวงกว้างมากกว่า ซึ่งการจัดการความเสี่ยงเหล่านี้ คือการทำให้โอกาสเกิดน้อยที่สุด ถึงกับมีวิชา Risk management ไว้ให้เรียน ซึ่งผมได้เรียนมาจากมหาวิทยาลัยตอนปรัิญญาโทที่ ม.กรุงเทพ เป็นจำนวน 1 บท ได้อธิบายความเสี่ยงไว้ ง่าย

ความเสี่ยงในการลงทุนคือเพื่อนร่วมทางคุณตลอดไป (1): The risk in investment:

ความเสี่ยงในความคิดผมคือ อะไรที่ไม่แน่นอน, อนิจจัง อะไรที่อาจเกิดขึ้นได้, อะไรที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ไม่ว่าในอัตราต่ำเท่าไร การลงทุนในหลักทรัพย์หรือในหุ้นนั้น การเปลี่ยนแปลงของราคาเป็นสิ่งที่เรากำหนดไม่ได้ และการเปลี่ยนแปลงราคานั้นเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดว่าการลงทุนนั้นจะขาดทุนหรือกำไร ราคาหุ้นขึ้นเรากำไร และถ้ามันขึ้นไปถึงเมื่อไรเราไม่สามารถกำำหนดได้ ราคามันลงเราก็ไม่รู้ว่ามันจะลงถึงเมื่อไรซึ่งก็ถือว่าเราไม่สามารถกำหนดได้เช่นกัน สิ่งที่ทำให้นักลงทุนมีปัญหาต่อการลงทุนมากที่สุดคือ การขาดทุน สิ่งนี้ไม่ว่าเป็นใครมือใหม่มือเก่า เซียนหุ้น แมงเม่านั้นก็เป็นสิ่งที่เราไม่ปรารถนาเหมือนกัน เพราะทุกคนลงทุนเพื่อกำไร ไม่ใช่เพื่อขาดทุน แต่ในเมื่อมันขาดทุนแล้วจะทำอย่างไร ความเสี่ยงนั้นมาพร้อมกันกับการลงทุน เมื่อคุณพร้อมลงทุนแล้ว ความเสี่ยงคือเพื่อนร่วมทางคุณตลอดไป โดยความเสี่ยงนั้น คือการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นนั้น ดังนั้นเราต้องมาจำกัดความเสี่ยงก่อนว่าเรารับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน เพราะสถานะภาพทางการเงินของทุกคนนั้นไม่เหมือนกัน บางคนรับความเสี่ยงได้มากด้วยหลายประการ เช่น อายุน้อย ไม่มีภาระครอบครัวเ

แบบ 56-1 แหล่งขุดทองของหุ้น

รูปภาพ
แบบ 56-1 หรือ รายงานการเปิดเผยข้อมูลประจำปี (56-1) เป็นรายงานประเภทหนึ่ง ที่บริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ ต้องส่งให้กับ ตลาดหลักทรัพย์หรือกลต. (ไม่แน่ใจ) ที่มีข้อมูลพร้อมที่ทางบริษัทเปิดเผยให้เราทราบมากที่สุด มีทั้งงบการเงิน รายชื่อผู้บริหาร และ แนวโน้มการทำธุรกิจด้วย ซึ่งผมชอบอ่านมาก และนักลงเน้นมูลค่าก็ควรอ่านเพื่อให้ทราบว่า บริษัทที่เราจะซื้อหุ้นนั้นมีวิสัยทัศน์อย่างไร มีปัญหาอะไรในบริษัท ใครบริหาร และงบการเงินเป็นอย่าง ซึ่งผมว่ามันเป็นแหล่งข้อมูลอย่างเป็นทางการที่ให้มากที่สุด โดยเราสามารถหาได้จากเว็บตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตามลำดับ 1.เข้า http://www.set.or.th/th/index.html แล้วไปที่ ค้นหาหลักทรัพย์ ให้เราใส่ หลักทรัพย์ที่เราต้องการ 2.เลือกหัวข้อ บริษัทฝหลักทรัพย์ 3.กด แบบ 56-1 เพื่อ download ซึ่งเราก็ได้รับข้อมูลจาก 56-1 ที่ให้เรามิติความรู้หลายมิติ ช่วงนี้หุ้นกำลังขึ้น อาจจะทำให้การซื้อขายมีความโลภมาก ก็อย่าให้ลองศึกษาพื้นฐานก่อน แล้วค่อยตัดสินใจอีกทีนะครับ

เริ่มต้นกับหุ้น

คำถามที่ผมได้รับบ่อยครั้ง คำถามนั้นคือ "อยากเล่นหุ้นเริ่มอย่างไร" โดยส่วนใหญ่ผมมักจะถามคำถามแรกกลับไปว่า "มีเงินไหม" "มีเท่าไร เอาแบบเงินที่เราไม่ใช้นะ" สิ่งสำคํญครับ เพราะถ้าไม่มีเงินเราไม่สามารถเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ได้ครับ บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์โดยส่วนใหญ่นั้น เราเป็นกับบริษัทนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ โดยส่วนใหญ่เค้าจะขอดูเงินในบัญชีเราก่อนว่ามีการเข้าออกของเงินเราอย่างไร หรือดูสินทรัพย์อื่นๆประกอบ โดยบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์มีหลายแบบครับ แต่ผมคุ้นอยู่แบบเดียวคือ ซื้อขายด้วยเงินจริง แบบไม่ต้องวางเงินก่อน ซื้อหุ้นแล้วค่อยนำเงินไปเข้า ก็มี แต่สำหรับผู้บริหารความเสี่ยงสูงบ้างคน ก็ไม่ควรใช้ ความเสี่ยงสูงนะครับการหมุนเงินเนี่ย แต่เห็นหลังๆ เริ่มมีการวางเงินประกันบ้างแล้ว อย่างผมเนี่ย ใช้แบบซื้อขายด้วยเงินจริง มีเงินก็โอนเข้าบัญชี ไม่ต้องกังวลไรมาก อย่างไรส่วนนี้ก็ไปศึกษาเองแล้วกันนะ ตาม บริษัทหลักทรัพย์ หรือเรียกกันติดปากว่า "โบรเกอร์" การเลือกใช้บริการบริษัทหลักทรัพย์รายไหน ก็ลองหาข้อมูลดูก่อนก็ได้นะครับ เมื่อก่อนบ้านผมรับหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิ

ประเภทนักลงทุนในตลาดหุ้น

นักลงทุนในตลาดหุ้นคำนิยามของผมคือ บุคคลที่นำสินทรัพย์ส่วนใหญ่เป็นเงินไปซื้อหลักทรัพย์ประเภทต่างๆ เช่น หุ้น อนุพันธ์ และอื่นๆ ในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อรอการขาย โดยคาดหวังได้รับผลตอบแทนที่ดีขึ้น แบ่งตามการลงทุนทางเศรษฐศาสตร์ โดยส่วนใหญ่นั้น การซื้อขายหลักทรัพย์นั้น เป้นการซื้อขายในตลาดรอง (ตลาดที่เปิด 10.00 ปิด 17.00 ซื้อกันผ่านโบรเกอร์รายต่างๆ ) นั้นเป้นการลงทุนทางอ้อม ส่วนการลงทุนทางตรง คือการซื้อลงทุนตรงจากบริษัท ในการ หุ้น IPO นั้นเอง บางคนเรียกว่า ตลาดแรก ถ้าใครยังสงสัยอยู่ว่าเราอยู่ในตลาดไหนก็ดูกิจกรรมเราดังนี้ ถ้าเรา ลงทุน เก็งกำไร เล่น หรือ ทำกิจกรรมอื่นเกี่ยวกับตลาดหุ้น ใน เวลา 10 โมงเช้า ถึง 5โมงเย็นและราคามีการเปลียนแปลงไม่แน่นอน ซึ่งก็คือ เราทำในตลาดรองนั้นเอง แต่ถ้าพวก ต้องไปเข้าแถว หน้าธนาคารตั้งแต่เช้า เพื่อจองหุ้น หรือ พวกมีบริษัทมาบอก พี่ได้รับสิทฺธิ์จองซื้อหุ้น หรืออะไรก็ตาม ที่ซื้อแบบราคาคงที่ แบ่งตามนิสัยการซื้อขาย ก็มีไม่แบบครับ มีแค่คำว่า ยาว กับ สั้น นักลงทุนระยะสั้น อาจมีคำเรียกอื่นๆ เช่น Daytrader เป็นต้น เป็นพวกลงทุนในช่วงเวลาหนึ่งที่ได้กำหนดไว้ อาจจะเป็น เืดือน เป

Who is investor? Investor is who? ใครคือนักลงทุน นักลงทุนคือใคร

นักลงทุนสำหรับผมคือ บุคคลที่ใช้ทุนบริหารจัการสินทรัพย์ชนิดต่างๆ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ซึ่งการลงทุนนั้นมีหลายแบบ โดยทางเศรษฐศาสตร์นั้นมองการลงทุน 2 แบบ ดังนี้ การลงทุนโดยอ้อม การลงทุนรูปแบบนี้ผู้ลงทุนหวังผลตอบแทนแบบส่วนต่างของราคา เช่น ซื้อบ้าน ซื้อที่ ซื้อคอนโด ซื้อทอง ซื้องานศิลปะ ซื้อหุ้น ซื้อของโบราณ ซึ่งเน้นว่าการซื้อมาเก็บของไว้สะสมให้ผ่านเวลาไปอาจจะช้าหรือเร็วก็ตามแต่ สิ่งที่มีครอบครองไว้นั้นราคาในการขายครั้งต่อไปจะสูงขึ้น ซึ่งในทางเศรษฐศาสตร์มองว่า เป็นการลงทุนโดยอ้อมซึ่งไม่ก่อให้เกิดการจ้าง และมูลค่าทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น โดยส่วนใหญ่เราว่า เก็งกำไร ซึ่งถ้ามีการลงทุนแบบนี้มากเกินไปจะทำให้ ของมีราคาสูงเกินจริง มักเห็นได้ในช่วงก่อนที่่เศรษฐกิจจะล่มสลาย หรือ ภาวะ "เศรษฐกิจฟองสบู่" การลงทุนโดยตรง การลงทุนรูปแบบนี้ผู้ลงทุนสร้างองค์กร หรือ บุคคลขึ้นมาบริหารจัดการเพื่อให้ดำเนินธุรกิจไปด้วยได้ดีโดยผลตอบแทนคือ กำไรจากการบริหารธุรกิจ เช่น สร้างหอพักให้คนเช่า สร้างหมู่บ้านจัดสรร ผลิตอุปกรณ์ สร้างบริษัืทค้าขายต่างๆ ซื้อตุ๊กตาจากสำเพ็งไปขายตลาดนัด ทำขนมขาย ขับรถไปขา

บทความเริ่มต้น

Blog นี้ ผมตั้งใจจะนำความรู้เรื่องการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ การบริหารเงินบุคคล การออม ที่ผมรวบรวม หาได้อ่าน มาไว้ใน Blog นี้ ซึ่งความจริงการลงทุนเป็นสิ่งที่ผมรักและชอบมากตั้งแต่ ตอนเรียนปริญญาตรี นับเป็นความรู้เรื่องแรกๆ ในชีวิตที่ผมได้หาหนังสือภาษาไทย ภาษาอังกฤษมาอ่าน ลงทุนเวลาไปฝึกอบรมในหลักสูตรต่างๆ ลงมือปฎิบัติจริง โดยนำเงินเก็บมาตั้งแต่สมัยม.ปลายมาลงทุน ในปี 2546 ซึ่งอาจเป้นเวลาที่โชคดีมากกับกำไรที่ได้ การลงทุนนับว่าเป็นเรื่องที่ผมหมกหมุ่นมากที่สุด แม้ผมจะยอมห่างหายจากตลาดหลักทรัพย์ไปหลายปี ก็ตาม แต่เงินที่ได้มาจากการลงทุนก็ได้ช่วยผมไว้หลายเรื่อง แม้ผมจะเคยได้มีเงินจำนวนมากอย่างที่ชีวิตไม่เคยคิดว่าจะมีได้ แต่ผมก็พบกับการสูญเสีย สอนผมว่าเงินทองไม่สามารถซื้อทุกสิ่งได้ มันก็ไม่สามารถซื้อชีวิตคนที่ผมรักที่สุดได้ ชีวิตกับเงินนั้นอาจแยกไม่ได้ในสังคมปัจจุบัน โดยผมได้บทเรียนจากการเงินไว้หลายข้อ เช่น การมีเงินดีกว่าการไม่มีเงิน การใช้เงินพออัตตภาพกับตนนั้นประเสริฐที่สุด เงินมากปวดหัว เงินไม่พอก็ปวดหัว ยืมเงินคนไม่คืน เสียเพื่อน ลูกหนี้หน้าด้าน ยืมแล้วชอบลืม เงินกับหญิง และความไม่รับผิดชอบ ท