บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก 2012

บันทึกการลงทุน 31/12/2555 การวัดผลการลงทุน

รูปภาพ
บทความส่งท้ายปี 2555 ปีนี้ ไม่มีเรื่องตื่นเต้นกับน้ำท่วม ย้ายบ้านหนีน้ำ ซ่อมแซมบ้านหรืออะไรก็ตาม เลยมีเวลาให้ผ่อนคลายช่วงปลายเยอะกว่าปีที่แล้วมาก เลยมาเขียนบทความส่งท้ายปีหน่อย การวัดผลการลงทุนนั้นเป็น เรื่องสำคัญของนักลงทุนทุกคน ไม่ว่าจะสมัครเล่น หรือ มืออาชีพ ไม่ว่าจะนักลงทุนบุคคล หรือ สถาบัน โดยปกติ นักลงทุนสถาบัน หรือกองทุน จะมีการแสดง NAV หรือ Net Asset Value เพื่อให้ทราบว่า ขนาดสินทรัพย์ ในกองทุนนั้นมีขนาดเท่าไร และใช้ NAV นั้นเป็นตัวบอกว่า ที่ผ่านมามีผลประกอบกันอย่างไร โตหรือลดลง ซึ่งถ้าเราอยากทราบผลการดำเนินงานของกองทุนคร่าวๆ ก็ใช้ NAV ในอดีตเนี่ยละครับเป็นตัวบอก ว่ากองทุนนี้มีฝืมือขนาดไหน ส่วนนักลงทุนรายย่อย หรือ ส่วนบุคคลนั้น ผลการลงทุนนั้น ผมมองว่าไม่แตกต่างกันนัก ดูง่ายๆ ก็ดูจากผลรวมในพอร์ตของโปรแกรม แต่ถ้าจะยากกว่านั้น ก็ต้องดูเหมือน  Net Asset Value ว่าปีนี้เพิ่มมาเท่าไร แล้วแยกออกระหว่าง เงินที่ใส่เข้าไป และ ที่ถอดออกมาด้วย ถ้าอยากทราบผลตอบแทนในปีนั้น ก็ลองใช้สมการก็น่าจะ "มูลค่าหุ้น+เงินสดในพอร์ต - เงินที่ใส่เข้าไป + เงินที่ถอนออกมา" ก็น่าจะพอ

กำไรที่ดีบริษัท

บทความนี้ผมจะมาสรุปความรู้ของผมคร่าวๆ ในการลงทุน เรื่องกำไรของบริษัท กำไรนั้นคือ รายได้ - รายจ่าย ซึ่งเป็นพื้นฐานของการทำธุรกิจ กำไรนั้นเป็นผลตอบแทนของ ผู้ประกอบการ ในปัจจัยการผลิตของวิชาเศรษฐศาสตร์ ในการลงทุนตามบริษัทต่างๆ ตัวเลขที่เราสนใจกัน อันดับแรกๆ ยิ่งถ้าเห็นตัวที่่ย้อนหลัง แล้วเห็นแนวโน้มที่สูงขึ้นตลอดเวลา แสดงว่าเป็นแนวโน้มของบริษัทเติบโต ซึ่งพอสรุปได้ว่าเป็น Growth stock ได้ แต่กำไรในบางปีนั้น มีความไม่แน่นอนเช่น สูงเป็นพิเศษ อาจมีเหตุมาจากปัจจัยอื่นๆ เช่น ขายสินทรัพย์ ออกไป ได้เงินมา เป็นต้น เพราะฉะนั้น เวลาผมดูกำไร แล้วต้องตามไปดูเหตุของกำไรด้วย เช่น รายได้หลัก เพิ่มเยอะหรือไม่ รายได้อื่นๆ นั้น เป็นสัดส่วนกี่ % ของ รายได้รวม รายได้อื่นๆ ในแต่ละปี มีแนวโน้มคงทีหรือ สม่ำเสมอ หรือไม่ รายจ่าย มีอะไรลดลงเป็นพิเศษไหม ซึ่งถ้ามีอะไรแปลกไป นั้นหมายถึงว่า ปีต่อๆ ไปอาจไม่มีรายการพิเศษ ทำให้กำไรอาจไม่สม่ำเสมออีกต่อไปนั้นเอง ถ้ากรณี รายจ่ายลงลด อย่างบังเอิญ หรือ รายได้อื่นๆ จากการเกิดได้แค่ครั้งเดียว นั้น ย่อม หมายถึงกำไรที่เกิดขึ้นนั้น มีครั้งเดียว ซึ่งไม่อาจใช่่สิ

บันทึกการลงทุน 19/12/2555 ภารกิจ 10 ปี เสร็จสิ้นลงวันนี้

วันนี้ถือว่า ผมได้ทำภารกิจที่เคยตั้งเป้าในการลงทุนไว้ ตัั้งแต่สมัยเรียนปี 4 แม้ มันจะช้าเป็น 10 ปี แต่ผมก็ถือว่าทำได้สำเร็จแล้ว แต่ถือเวลาจริง การได้ถึงเป้าหมายแล้ว มันก็ไม่ได้รู้สึกดีใจเหมือนกับสมัยก่อน ตอนตั้งเป้าไว้ครั้งแรก ผมจินตการว่า การทำเงินถึงเป้านั้น จะมีความสุขแค่ไหน แต่ คำตอบ ความสุขของผม ไม่ได้เกิดในวันนี้แม้แต่น้อย แถมก็รู้สึกแค่ ได้แล้วเหรอ ไม่น่าเชื่อ แต่สิ่งที่ผมรู้สึกได้อย่างนึง คือ เมื่อผมมองย้อนกลับไป 10 ปี เห็นทั้งทุกข์ สุข เหนื่อย การเรียนรู้ สำหรับผม มันคือ หยาดเหงื่อ และ คราบน้ำตา ที่สอนด้วยชีวิตจริง เจ็บจริง ร้องไห้จริง หัวเราะจริง มีความสุขจริง และสินทรัพย์จริงๆ และทุกอย่างมันก็ทำให้ผมเรียนรู้ว่า ถ้าไม่มีเงินมันลำบากขนาดไหน เรื่องที่สำคัญสุดของผม ที่่มาถึงจุดนี้คือ วินัยทางการเงิน เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ ไม่ใช่ พื้นฐาน เทคนิค หรือ อื่นๆ ก็หาไม่ครับ สุดท้าย ต่างคนต่างมีทาง ต่างคนต่างมีภาระ วิธีการลงทุนของอาจไม่ถูกจริต กับ คนอื่นอีกหลายๆคนก็ได้ คิดว่าเป็นทางเลือกให้คนที่สนใจอยากลงทุนก็แล้วกันครับ ขอให้โชคดี ในการลงทุนนะครับ

การเอาตัวรอดในวัฎจักรธุรกิจ อดีตทียากจะเหมือนเดิม

ผมได้มีโอกาสอ่านบทความเกี่ยวกับอุตสหกรรมสิ่งทอ โดยเฉพาะแบบสมัยดังเดิมในยุคขายผ้า ขายเสื้อยืดจากโรงงานราคาถูก ซึ่งหลายๆปี นี้โดนเสื้อผ้าจากกัมพูชา ตีตลาดไปหมดแล้ว เมื่อหลาย 10 ปี ยุคสมัยที่ผมยังเรียนปริญญาตรี คณะเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เป็นยุคที่เรายังอยู่ในวังวนของวิกฤตต้มยำกุ้ง ซึ่งเราโดนขมขู่ว่า งานนั้นหายาก บัณฑิตใหม่จบมาตกงานกันเป็นแถวๆ ในช่วงต้นปียุค 2540 ในยุคนั้น สิ่งที่ผมจำได้คือ บริษัทการเงินล้มอย่างไม่เป็นท่า ตลาดหุ้นร่วงจนติดดิน มีคนซื้อกองทุนแล้วไม่มีเงินเหลือต้องไปประท้วงด้วยการราดอุจจระ เป็นที่โด่งดังมาก ส่วนค่าเงินบาทก็ลดลงเป็ฯ 50 บาทต่อตอลล่าสหรัฐ คนส่งลูกเรียนนอกต้องเรียกกลับประเทศหมด รถที่ติด ก็กลายเป็นรถโล่ง นั้นคือภาพเมื่อยุคตำยำกุ้งที่ผมพอจำได้ครับ แต่สิ่งตรงกันข้ามที่เห็ฯได้ชัดเจน คือการส่งออก นั้นกลายเป็นธุรกิจดาวรุ่ง หรือเรียกวว่า อุตสหกรรมกู้ชาติได้เลยที่เดียว เช่น พวกอาหาร ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิก เสื้อผ้า หรืออะไร ที่ทำส่งออกก็ตาม รวมถึงการท่องเที่ยว ที่กลายเป็นรายได้หลักของประเทศเลย เพราะด้วยค่าเงินที่ถูกแสนถูก ใครๆ ก็อยากมาเที่ยวเมืองไทย

บันทึกการลงทุน 02/12/2012 สูงสุดรอบ 16 ปี พร้อมกับจำนวนและมูลค่าสูงมาก

รูปภาพ
พอเข้าสิ้นปีนี้ ตลาดก็ทำ New high อีกรอบ หลังจากผ่านเรื่องปัญหาการเมือง ทั้งในและนอก ประเทศ แถมยังเป็น New high ที่ Vol ไหลทะลักด้วย  Val 7หมื่นล้าน หาไม่ได้บ่อยนัก ในการลงทุนปกติในแต่วัน ซึ่่งปัจจัยหลายๆ อย่าง ใน ไตรมาส 3/2555 ทำให้ตอนนี้ P/E อยู่ที่ 17.08 เรียกว่า สูงอยู่เมื่อเทียบกับ 2-3 ปี ที่ผ่านมา แต่ก็ยังต่ำกว่า 1300 รอบก่อนหน้า ที่ P/E อยู่ที่ 18 ตามบทความเก่าของผม  ใน Linkนี้ครับ รอบ Q3 พวกเกี่ยวกับพลังงาน โดยเฉพาะ น้ำมันนั้น กลับมากำไรอีกครั้ง ซึ่งทำให้ E ในตลาดหลักทรัพย์ไทย กลับมาดูดีอีกครั้ง เป็นเรื่องน่าแปลกสำหรับผม คือ ประเทศไทย ไม่ได้ผลิตน้ำมัน แต่ราคาน้ำมันส่งผลกับเศรษฐกิจบ้านเรามากกว่าที่คิด หลายอย่างในปี ก็เรียกว่า ไม่ทำให้ตลาดหุ้นวิ่งไปได้เยอะนัก ความจริงผมยังคิดในใจว่าควรต้องปรับตัวลดลง แต่ตอนนี้ก็เพิ่มอยู่ ซึ่งอย่างไรตอนนี้ ก็นั่งเฝ้าจับตลาดกันต่อไปว่า ตลาดจะไปทิศทางไหนครับ โชคดีในการลงทุนนะครับ

การบริโภค

การบริโภคในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงการกินข้าว หรือ รับประทาน  แต่หมายถึง การใช้จ่ายเพื่อได้มาเพื่อสินค้าหรือบริการต่าง  ใน  Wikipedia  ให้ความหมายไว้ว่า "การใช้สิ่งที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์ต่อตัวเอง โดยสิ่งที่มีอยู่นั้นจะเสื่อมสภาพ ร่อยหรอ หรือหมดไปในชั่วระยะเวลาหนึ่ง และอาจต้องหาสิ่งใหม่มาเพิ่มเติมเมื่อต้องการใช้อีก" สำหรับการบริโภค ในเชิงเศรษฐศาสตร์มหภาคนั้น  ยิ่งภาคครัวเรือน ทำการบริโภคใช้จ่ายมาก นั้นเป็นการดีที่จะทำให้ตัวเลขมวลรวมประชาชาติ GDP สูงไปด้วย แต่ถ้าเรากลับมาที่ส่วนของประชาชนคนธรรมดากัน ถ้าเราบริโภค นั้นหมายถึงรายจ่ายเรานั้นจะสูง ซึ่งผลที่ต้องสนใจ คือ รายได้ของตัวเรานั้นเหมาะสมกับการบริโภคที่สูงหรือไม่ ซึ่งผลของการบริโภคสูง ทำให้รายจ่ายสูง ถ้าในกรณีที่เรามีรายรับน้อยกว่ารายจ่าย หมายถึงเราต้องเป็นหนี้เพื่อการบริโภคนั้นเอง สำหรับผม หนี้เพื่อการบริโภคนั้น เป็นหนี้ที่แย่ที่สุด เพราะเป็นการนำรายได้ในอนาคตมาจ่าย ณ ปัจจุบัน และต้องไปใช้คืนในอนาคตอีก สำหรับผม ทุกวันนี้เราโดนยัดเยียดให้บริโภคตลอดเวลา ไม่ว่า เราจะอ่านหนังสือ นิตยสาร เดินทางด้วยรถไฟฟ้า รถติดบนใต้ทา

บันทึกการลงทุน 24/11/2555 ความกลัวที่อยู่ในสังคม

รูปภาพ
วันนี้เป็นวันที่มีการชุมนุมทางการเมืองอีกครั้งหลังจากหายไป ปีกว่าๆ ซึ่งเป็นการชุมนุมที่สั้นๆ ที่สุดที่ผมพอนึกออก ซึ่งผมไม่ต้องการออกความเห็นเชิงการเมืองแต่อย่างไร สิ่งที่สังเกตุเพื่อนฝูงนักลงทุน ในตาม Facebook การลงทุน ในเช้าช่วงนั้นค่อนข้างออกไปแนวทางวิตกกังวลอย่างเห็นได้ได้ชัด เพราะมีการปะทะกัน พอมีการยกเลิกการชุมนุมช่วงเย็น การสังเกตุเห็นความผ่อนคลายและความดีใจอย่างเห็นได้ชัด ไม่แน่ใจว่าพอเรียกจิตวิทยามวลชนได้ไหม แต่พอเห็นได้ว่า อารมณ์ของนักลงทุนส่วนใหญ่นั้นแสดงออกมาถึงความวิตกกังวลอย่างขัดเจน ปัจจัยพวกนี้ สำหรับผมถือว่าเป็นอะไรที่ควบคุมไม่ได้เลย การที่นักลงทุน หรือ ฝูงชนตกใจ ความรู้สึกความอยากขายหุ้นจะสูงทันที เพราะคิดว่าภาพใน 5 ปีหลัง ฝั่งใจคนไทยไว้อยู่มาก ซึ่งสะท้อนผ่านความกังวลบนสื่อต่างๆ ซึ่งสำหรับผม ก็เรียกว่า กังวลอยู่ เพราะวันศุกร์เกิดไรขึ้นไม่รู้ ซื้อหุ้นไปในจำนวนเงินสดที่เกินครึ่ง เหลือเงินสดไม่ถึง 5% แต่ก็ไม่รู้ว่า วันจันทร์ตลาดจะลงหรือไม่ แต่อย่างน้อยก็โล่งไประดับหนึ่ง ว่าจะไม่มีอะไรที่แย่ไปกว่านี้ สำหรับตอนนี้ตลาดก็ลดระดับความแพงลงมา ด้วยกำไรในไตรมาส 3 ที่เพิ

การหาแนวโน้มการเติบโต

ก่อนหน้านี้ผมศึกษาหุ้นแต่ละตัวนั้น จะลงไปในตัวงบการเงินสัก 80% และดูแนวโน้มเชิงการบริหารต่อสัก 15% และดูราคากับกราฟ 5% คือดูเพื่อรู้ว่าเราอยู่ตรงไหน ซึ่งพอใช้วิธีสัก 2-3 ปี ผมได้พบกับความจริงอย่างเดิมๆ ที่เคยพบให้ครั้งแรกๆ คือ งบการเงินบอกอนาคตแต่สามารถบอกอนาคตได้ลางๆ คล้ายกับกราฟเชิงเทคนิค บอกได้อดีตและอนาคตรางๆ สิ่งที่ต้องทำให้เกิดประโยชน์คือ การหาแนวโน้ม (Trend) ให้เจอครับ ทั้ง วิธีอ่านงบการเงิน และ เทคนิค ซึ่งพวกเทคนิคนั้นจะมีวิธีการซื้อขายหรือ เทรด อย่างหนึ่งที่เรียกว่า Trend following เหมือนกัน ซึ่งการหาแนวโน้ม แบบการแกะงบของผม ถ้ากำไรยังโตทุกปี เฉลี่ยกี่ % ผมจะเอาเป็นเป้าหมายในปีต่อๆ ไป แม้แต่ในทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ก็มีการอธิบายการเติบโตของบริษัทไว้เหมือนกัน แต่ปัญหาคือ เราไม่สามารถรู้ได้ว่าเราอยู่จุดไหนของช่วงการเติบโตนั้น แต่ความยากของการที่เราซื้อหุ้นแบบเน้นการเติบโต คือ เราซื้อ หุ้นที่เติบโต แต่อัตราการเติบโตนั้นเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถรู้ได้ง่ายๆ เลย จากการแกะงบ นั้นเราเห็นแค่การเติบโตในอดีต ส่วนในอนาคตนั้น เป็นเรื่องไม่แน่นอน สิ่งที่ผมทำได้ในการคาดการณ์แนวโน้

วิธีแกะงบ ฉัตรชัย วงแก้วเจริญ

รูปภาพ
บทความนี้ผมนำมาจากบทสัมภาษณ์คุณ ฉัตรชัย วงแก้วเจริญ ในบทความ 'ฉัตรชัย วงแก้วเจริญ' วิเคราะห์หุ้น 'รวย'! จากงบการเงิน วันที่23 ตุลาคม 2555 ตาม link  bangkokbiznews.com คุณฉัตรชัย เป็น VI ที่มีชื่อเสียง ได้ร่วมรายการ Money take และ ออกงานสัมมนา ด้วย ซึ่งเป็นคนที่ได้การยอมรับว่าแกะงบการเงินเก่งมาก ซึ่งผมได้อ่านวิธีการแกะงบแล้วน่าสนใจ จึงขอนำมาไว้ใน Blog และเรียงลำดับเพิ่มเติมนะครับ ภาพประกอบจาก  http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2012/10/19/images/news_img_474674_1.jpg ' กำไรสุทธิ '  สำคัญน้อยกว่า  ' กระแสเงินสด ' ฉัตรชัย วงแก้วเจริญ   เซียนหุ้นวีไอ "ร้อยล้าน"   จะให้น้ำหนักการวิเคราะห์ลั กษณะกิจการที่น่าลงทุนโดยพิ จารณา  3  ส่วนหลักๆ คือ 1  กระแสเงินสดของกิจการ   บริษัทที่ดีต้องมีกระแสเงิ นสดจากการดำเนินงานปกติเติ บโตสม่ำเสมอ   ไม่ใช่กระแสเงินสดจากรายการพิ เศษที่รับครั้งเดียว 2  อัตราการจ่ายเงินปันผล   ต้องสมเหตุสมผล 3  คุณภาพสินทรัพย์ "ต้องดี" ส่วนพวกค่า  P/E  ยิ่งต่ำๆ ยิ่งดี   แต่ไม่ได้ยึดติดเท่าไร ส่วนค่

หุ้น IPO

รูปภาพ
หุ้น IPO เป็นหุ้นที่นำมาขายที่ตลาดแรก เป็นการนำเสนอขายหุ้นของเจ้าของบริษัทเดิมที่ถืออยู่ เพื่อเข้าสูงตลาดหลักทรัพย์ แต่ความน่าสนใจของหุ้น IPO ในช่วงนี้คือ ตัวไหนเข้าตลาด ราคาจะพุ่งจากปกติไปสูงมากเมื่อเทียบกับราคาจอง และติด Most active Value ประมาณ วันแรกๆ ด้วย ซึ่งตอนนี้คนส่วนใหญ่ จะมองหาหุ้น IPO เพื่อเข้าซื้อเก็งกำไรในช่วงวันแรกที่เข้าตลาด ผมก็นำ Link มาให้ เพื่อไปติดตามได้ว่าบริษัทไหน กำลังเตรียมตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ หรือ แต่งตัวอยู่นั้นเอง  http://www.set.or.th/th/company/ipo/upcoming_ipo_set.html แต่สิ่งที่นักลงทุนจะกังวลกับหุ้น IPO คือ เราไม่มีข้อมูลยืนยันว่า แนวโน้มการเติบโตในอนาคตจะเป็นอย่างไร เนื่องจากบริษัทเพิ่งเข้าตลาด ทำให้มีข้อมูลย้อนหลังนั้น น้อยมาก ดังนั้น หนังสือชี้ชวนเป็นหนังสือ หรือ แหล่งข้อมูลเดียวที่เราสามารถหาข้อมูลของบริษัทท่ีจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ โดยที่ link จะมีข้อมูล Filling อยู่่ตามรูปนะครับ หรือไปดูข้อมูลได้ที่ เว็บไซต์ของ กลต. http://capital.sec.or.th/webapp/corp_fin/cgi-bin/find69.php?lang=t&ref_id=&content_id=1  แต่ต้อง

บันทึกการลงทุน 28/10/2555 โอกาสซื้อ ไม่ซื้อ และแง่มุมใหม่ๆ ของกิจวัตร

รูปภาพ
สำหรับช่วง ตลาดเริ่มขยับลงบางแล้ว แต่ผมก็ยังนิ่งอยู่ไม่ได้ซื้อ หรือ ขาย อย่างจริงจังเท่าไร ซึ่งในความทรงจำตั้งแต่เดือน มิถุนายนปี 2555 ตลาดหลักทรัพย์ ได้ทำดัชนีการปรับตัวขึ้นมาตลอด นับเป็นช่วงหุ้นได้ทำราคาปรับตัวสูงขึ้นมาตลอด อย่างน้อย ผมก็ไม่ค่อยได้เขียน บันทึกการลงทุน เท่าไรนัก จน P/E ของตลาดในวันที่ 19/10/2012 อยู่ที่ P/E ของ SET 18.4  ซึ่งดัชนีตลาดไปทำจุดสูงสุด แถวช่วง 1314 สำหรับช่วงนี้ ผมเลยเรียกว่าพลาดโอกาสในการทำกำไรจากการซื้อขาย แต่เพราะผมไม่ได้สนใจในตัวราคาหุ้นเท่าไรนัก แต่ที่ไม่ค่อยได้ซื้อ เพราะ ผลตอบแทนจากปันผล และราคากับการเติบโต มันไม่มีค่าที่เหมาะสมในการเข้าไปซื้อสักเท่าไรนัก นับเป็นราคาร่วมเดือนเหมือนกันที่ ขายออกเล็กๆบ้าง แต่คราวนี้ถ้าดัชนีหุ้นปรับตัวลงอีกมากๆ ก็ต้องมาดูอีกทีว่า จะมีหุ้นอะไรเหมาะสมกับการให้ซื้อหรือไม่ นั้นคือสิ่งที่คุณต้องค้นหาเองครับ ช่วงนี้พอดัชนีหุ้น ปรับตัวสูงชึ้น ผมก็ขี้เกรียจในการแกะหุ้นด้วย เพราะเมื่อก่อนตอนหุ้นราคาไม่สูงเท่าปัจจุบัน ผมจะเจอหุ้นจาก อัตราส่วนการเงินที่น่าสนใจเยอะ แต่ช่วงนี้วิธีหาหุ้นแบบนั้นใช้การไม่ค่อยได้ เพร

หุ้น หวย ทอง เงินฝาก พันธบัตร อะไรได้รับความนิยมมากกว่า

รูปภาพ
บทความที่แล้วได้ เล่น Google Trend แล้วรู้สึกสนุก เลยนำมาเล่นต่อ โดยหัวข้อที่จะนำมาเล่นต่อ คือ สิ่งที่คนไทยนิยมเอาเงินไปลงทุนอย่างถูกกฏหมาย ไม่นับความเสี่ยงมาก น้อย อย่างไร ที่ผมคิดออก ก็มี หุ้น หวย  ทอง เงินฝาก ที่ดิน สำหรับบางคน หวย อาจดูเป็นการพนัน แต่ผมขอรวมไว้ในข้อหัวนี้เพื่อให้เห็นอะไรสนุกๆ ในความขี้สงสัย ระหว่าง หุ้น กับ หวย นอกนั้นมี พันธบัตร แต่ปริมาณการค้นหาน้อยจนขออนุญาติเอาออกจากการร่วมสนุกครัั้งนี้ ซึ่งผลก็ออกมาดังนี้ครับ ใช้ช่วงเวลาตั้งแต่ ปี 01/2004-10/2012 เห็นได้ว่า หุ้น กลายเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมในการค้นหาน้อยทันที เมื่อเทียบกับ ทอง และ หุ้น ซึ่งเห็นได้ชัดว่า การลงทุนแบบดั้งเดิมของไทย คือ หวย กับ หุ้น นั้น นำหุ้นขาด แสดงถึงคนส่วนใหญ่ใช้ Google ค้นหาคำสำคัญนี้มากว่า ส่วนทองคำซึ่งเป็นที่คึกคักมากใน1-3 ปีที่แล้ว ซึ่งพอกลับมาปีนี้ ราคาทองเริ่มไม่พุ่งรุนแรงแบบหลายปี ที่ผ่านมา ส่งผลให้การค้นหาคำว่า ทอง ใน Google  แต่คำว่า หวย เห็นแนวโน้มขึ้นตลอด ส่วน ที่ดิน หลังๆ เริ่มเสียตำแหน่งให้กับ หุ้น ไปแล้ว ซึ่งคนเร่ิิมสนใจมากกว่า ที่ดิน ใน G

จากปี 2008 มาถึงปี 2012 ตลาดหุ้นเราได้รับความสนใจในระดับคนสนใจอย่างไร

รูปภาพ
โดยปกติ ช่วงนี้ผมเขียน Blog จะเขียนจากที่ตัวเองรู้สึกว่าต้องการเขียนอะไร ซึ่งไม่ได้ค่อยได้สนใจว่า คนอ่านต้องการทราบเนื้อหาอะไร วันนี้ผมเลยลองใช้ Google trend ที่เป็นโปรแกรมที่ใช้จับ ดัชนี การใช้งานใน Google ว่ามีคนสนใจค้นหาคำสำคัญใน Google เท่าไร ดูได้จากกราฟ ที่ผมนำมาลงให้ได้เลยนะครับ http://www.google.com/trends/explore#q=%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99 เห็นได้ชัดว่า ช่วงนี้เป็นช่วงจุดสูงสุด ที่คนสนใจตลาดหุ้น เมื่อเทียบกับ 4 ปี ที่ผ่านมา ไม่แน่ใจว่า จะได้รับความสนใจต่อเนื่องอีกหรือไม่มาติดตามกันต่อละกันนะครับ คำถามที่ Google Trend ตอบได้อีกอย่างคือ จังหวัดไหนมีคนสนใจ หุ้น ผ่าน Google มากที่สุด คำตอบคือ ตรัง ครับ ส่วนจังหวัดที่มีคนสนใจในคำว่า หุ้น มากที่สุด 5 อันดับคือ ตรัง ภูเก็ต นครศรีธรรมราช ระนอง และ กรุงเทพ สำหรับผม ตรัง ทิ้งจังหวัดอื่นๆ อย่างน่าสนใจที่เดี่ยว จนทำให้ผมสงสัย วิธีเก็บข้อมูลของ Google Trend เลยทีเดียว ว่า ตรังเป็น Hub รวมของ Internet ภาคใต้ตอนล่างรึปล่าว แต่อย่างไร ก็เยอะกว่า คนในกรุงเทพอยู่ดี ก็คิดว่าเป็นการกระจายตัวออกของนักลงทุน ที่ไม่ไ

งานสัปดาห์หนังสือกับตลาดหุ้น

รูปภาพ
ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบอ่านหนังสือมาก อ่านมาตั้งแต่เด็ก งานสัปดาห์หนังสือจึงเป็นที่โปรดปรานมาก ตั้งแต่สมัยเรียนประถมแล้ว งานสัปดาห์หนังสือ ปีหนึ่งจะจัด 2 ครั้ง ไม่แน่ใจว่าแม่งานต่างกันหรือไม่ เพราะไม่เคยสนใจ แต่ช่วงจัดงานจะตรงกับ ช่วงปิดเทอมพอดี คือ ตุลาคม กับ เมษายน เป็นงานที่ผมไปนั่งอยู่ได้ทั้งวัน ผมอ่านหนังสือมาหลายประเภท แต่ละปี ก็จะมีการซื้อหนังสือหัวข้อที่ต่างกันไป เช่น วรรณกรรม นิยายจีน นิยายวิทยาศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมือง ปรัชญา การลงทุน การบริหารธุรกิจ โปรแกรมมิ่ง กราฟฟิก ศิลปะ เป็นต้น ส่วนการลงทุน เป็นหนังสือที่ซื้อทุกปีได้ อย่างน้อยงานละเล่ม ซึ่งความน่าสนใจหนังสือ กับ ตลาดหุ้นคือ ช่วงที่ตลาดหุ้นที่ตกต่ำ หนังสือหุ้นหายากมาก เช่นในปี 45-46 ผมจำได้ว่าหนังสือหุ้นนอกจาก ตีแตก ของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร คัมภีร์หุ้นของ คุณ โสภณ ด่านศิริกุล นอกนั้นแทบหาไม่ได้เลย พอหลังจากปี 47 ก็ จำได้ว่าหนังสือหุ้นเริ่มกลับมาพอหาได้ และมีหนังสือแปลดีๆ ออกมาเรื่อยๆ ช่วงต่อมาคือปี 50 ผมก็ออกจากตลาดพอดี แต่ไปงานสัปดาห์หนังสือ ก็ยังสนใจอยู่ แต่ก็จะเห็นได้ว่า ปีนั้นหนังสือใหม่ๆ ไม่ค่อยจะออก มี

หนังสือ Mergers and Acquisitions

รูปภาพ
วันนี้เจอหนังสือ น่าสนใจเรื่องนึ่ง คือ Mergers and Acquisitions  หรือการควบรวมบริษัท http://www.set.or.th/th/market/files/mna/Final_MnA.pdf การทำควบรวม เป็นเหมือนตัวเร่งให้บริษัทโตได้โดยการไปรวมกับบริษัทอื่น เช่น ซื้อบริษัท หรือ แลกหุ้นกัน ถ้าบริษัทได้บริษัทที่ดี มาส่งเสริมกิจการของบริษัท จะถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก แต่บางบริษัทได้บริษัทมา ในราคาแพง ละบางครั้งไม่สามารถทำให้เกิดศักยภาพด้วย ยิ่งส่งให้การควบรวม แล้วบริษัทใหญ่เกินไปทำให้กำไรหดลง แบบนี้ก้เป้นไปได้ครับ สำหรับประเทศไทย เพิ่งเริ่มมีการควบรวมเยอะใน ช่วงไม่กี่ปีนี้เอง ซึ่งในหนังสือเล่มนี้ก็มี กรณีศึกษาไว้ให้ทราบเหมือนกัน อย่างไร ลองอ่านดูครับ ได้ไอเดียใหม่ๆ ในการลงทุนแน่นอนครับ โชคดีครับ

รายจ่ายที่ดี รายจ่ายที่ไม่ดี (Good expense Bad expense)

รูปภาพ
ช่วงนี้ผมเพิ่งมีโอกาสได้ป่วยเป็นอีสุกอีใส หยุดงานยาว นอนอยู่บ้านประมาณ 10 วัน สิ่งหนึ่งที่รู้สึกแย่คือ งานที่ค้างคาที่ทำงาน แต่ข้อดีคือ ผมนอนอยู่บ้านไม่ออกไปประมาณ 10 วัน คือไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เกิดขึ้นเลย ณ ช่วงเวลานั้น ผมเห็นอิสระทางการเงินร่ำไร แม้จะเป็นของปลอมก็ตาม วันนี้เรามาพูดถึงรายจ่ายกันบ้าง เพราะปกติ ผมจะคุยแต่เรื่องการลงทุน รายรับ การออม แต่ความจริงรายจ่ายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกวันๆ รายรับสำหรับมนุษย์เงินเดือนมีแค่วันเดียว รายจ่ายเป็นสิ่งจำเป็น เราต้องพึ่งพาร่างกาย พึ่งพาสังคม ต้องพึ่งพาสาธาณูโภคขั้นพื้นฐานจากรัฐ พึ่งพาความสะดวกสบายจากเทคโนโลยีต่างๆ เพราะอย่างนั้น รายจ่ายที่เป็นเงิน มาจากรายได้เรา เป็นสิ่งที่ผู้คนยอมรับกันอย่างแน่นอนที่สุด เพื่อให้ได้บริการ สินค้า นั้นๆ มา เราเข้ามาในระบบเศรษฐกิจตั้งแต่เราเกิด เรามีรายจ่ายทุกวัน ไม่ว่าจะทางตรง ทางอ้อม หรือ เต็มใจ ไม่เต็มใจก็ตาม เพราะฉะนั้น การกิจกรรมเพื่อให้เกิดรายได้ เป็นสิ่งจำเป็น ถึงได้มีแนวคิดพวก อิสระภาพทางการเงินขึ้นมา เพื่อปลดปล่อยเราออกจากกิจกรรมเพื่อให้เกิดรายได้ โดยใช้ เงิน สินทรัพย์ของเรา ทำงานแทนเรานั้นเอง

บันทึกการลงทุน 06/10/2555 ความคาดหวังของกำไรกับการคาดการณ์ราคาหุ้น (Hope)

ระหว่างช่วงที่ผมนั่งรองบการเงินไตรมาส 3 อยู่นี้นั้น ราคาหุ้นหลายตัวในพอร์ตของผมได้ขยับไปจนกำไรมากกว่าที่หวังไว้ ในตอนซื้อซะอีก บางครั้งเป็นการลำบากที่คิดว่าจะขายออกไปจากพอร์ต แต่ก็ยังถือไว้เพราะการมองระยะยาวมากๆ หลายครั้ง นายตลาด Mr.Market มักจะทำให้การตัดสินใจซื้อขายหลักทรัพย์ หรือ หุ้นของผม เป็นไปได้อย่างยากเย็นมาก ด้วยราคาที่ไม่สมเหตุสมผล บางครั้งมันมาเย้ายวนผม ให้ทำอย่างที่ใจไม่ต้องการบ่อยๆครั้ง สำหรับช่วงนี้ ราคาของตลาดหลักทรัพย์ ณ ปัจจุบัน สำหรับผมไม่ใช่จุดที่น่าสนใจเท่าไร เมื่อเทียบกับ 3 ปีที่แล้ว จนถึงต้นปีนี้ การหาหุ้นเข้าในพอร์ต ยากมาก แต่ก็ลำบากในการล้างพอร์ต เพราะพอร์ตเล็กอยู่ สิ่งที่ทำคือ เลี้ยงพอร์ตต่อไปตามราคาที่เหมาะสม ราคาของหลักทรัพย์ แสดงถึงสิ่งที่คนในตลาดยอมซื้อขายแลกเปลี่ยน ในช่วงนี้ เงินไหลเข้ามาในตลาดหลักทรัพย์มาก ไม่ว่าด้วยเหตุผลทางจิตวิทยา หรือ การอัดฉีดเงินจากระบบเศรษฐกิจก็ตาม ทำให้เงินเข้าในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น เมื่อเงินมากขึ้น ทำให้ความต้องการสูงขึ้น ก็ทำให้มีการซื้อหลักทรัพย์สูงขึ้น  ส่งผลให้ราคาหุ้นนั้นสูงตามไปด้วย ปริมาณเงินที่เข้ามาในตลาดมากข

บันทึกการลงทุน 30/9/2555 กิจกรรมหลังสิ้นไตรมาส3/55 SET Index แตะ 1300 รอบ 16 ปี

รูปภาพ
ในวันศุกร์ที่ 28 เดือนกันยายน พ.ศ. 2555 เป็นวันแรกในชีวิตการลงทุนที่ได้เห็น ตลาดหุ้น หรือ SET index 1300 จุด แม้จะปิดตัวไม่สามารถยืนอยู่ที่ 1300 ก็ตาม ส่วนค่า P/E ก็เท่ากับ 18 เท่าไปละครับ ซึ่งก็ขอให้ผลประกอบการในบริษัทมหาชนโดยรวมในไตรมาส 3 นั้น ลดระดับค่า P/E ลงมาได้ สำหรับผมสิ่งที่สนใจสำหรับการสิ้นไตรมาสคือหลังจากนี้ ช่วงเวลาประมาณ 45 วัน งบการเงินของบริษัททั้งตลาด กำลังจะออกมาให้เห็น่ว่า ไตรมาส 3 นั้น การทำงาน ผลงานนั้นเป็นอย่างไร ตอนนี้ คนในตลาดไม่รู้ว่าคิดอย่างไรกับ ช่วงเวลานี้ เวลานี้ผมคิดว่าเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นไทย ได้รับผลดีจากเงินลงทุนทางอ้อมจากต่างประเทศมาก จนทำให้ราคาหุ้นบางตัววิ่งไปจากราคาปกติมาก ช่วงนี้ถ้าหาหุ้นถูกใจไม่เจอ ผมจะพยายามไม่ลงทุนแม้อยากจะลงทุนมากก็ตาม ส่วนใครมีกลยุทธ์อย่างไร ก็พิจารณาดีๆ ด้วยนะครับ โชคดีในการลงทุนครับ

วินัยการเงิน (discipline of finance)

วินัยการเงินเป็นเรื่องของแต่ละบุคคลที่จำต้องมี ซึ่งแต่ละบุคคลนั้นจะมีความเข้มแข็งในวินัยการเงินมากน้อยเพียงใด ก็เป็นเรื้่องแล้วแต่บุคคล ซึ่งความยากง่ายของวินัยการเงินนั้นก็เป็น ขอบเขต กฎเกณฑ์ที่แต่ละบุคคลตั้งขึ้นมาอีก ที่นึง ขอบเขตของวินัยการเงินนั้น การสร้าง นั้นไม่ยาก จะทำให้ดูดี สมเหตุ สมผลอย่างไรก็ได้ แต่ที่ยากคือ การอยู่ในวินัยการเงินให้ได้ตลอดรอดฝั่ง ทุกเดือนๆ หรือตลอดระยะเวลาที่เราตั้งเป้าไว้ วินัยการเงินง่ายๆ เช่น เก็บออม 10% ทุกครั้งที่ได้รับเงิน แล้วแบ่งใช้ในชีวิตประจำ 60% ใช้ฟุ่มเฟือง 30% วินัยการเงินของผม คือ ใช้ 40% ลงทุน 60% เพราะผมเชื่อในการลงทุนถึงได้กล้าทุ่มกับมันมาก มีบ้างที่ผิดวินัย ในบางเดือน เพราะผมรวมงบของฟุ่มเพื่อย กับ ชีวิตประจำวันไว้ด้วยกัน ยิ่งถ้าคุณทำวินัยการเงินให้มีความยากแล้ว การถึงตามที่หมายแล้วสำเร็จนั้น เป็นเรื่องยากมาก แต่ถ้าคุณทำสำเร็จแล้ว ก็ควรภาคภูมิใจในชีวิตของคุณด้วย ความยากที่สุดของวินัยการเงินคือ -ความจำเป็นที่ต้องใช้เงินในสิ่งที่จำเป็น ถ้าเดือนไหนคุณป่วย มีประเด็น ญาติ แฟน เดือนร้อน เตรียมใจได้ครับ -ความอยากได้สิ่งที่ไม่ใช่รายจ่าย

บันทึกการลงทุน 14/9/2555 หลัง QE3 ออก และวิธีการเลือกหุ้นผมที่ต้องเปลี่ยนไป

รูปภาพ
หลัง ธนาคารสหรัฐอัด QE3 ลงมา สิ่งแรกที่่ส่งผลต่อตลาดหุ้นคือ กำลังซื้อ แรงเงิน เทลงมาในตลาดหุ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน วัน14/9/2555 หลังจากที่ทราบข่าว ปริมาณการซื้อขาย ก็พุ่งสูงกว่าเฉลี่ย สังเกตุได้จากมูลค่าการซื้อขายพุ่งไป เกือบ 60,000 ล้าน ส่วนต่างชื้อก็เข้ามาซื้อหุ้นเยอะขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ช่วงนี้เป็นช่วงที่ผมต้องหลบทางให้กับตลาดบ้าง ถ้าจะเห็น จังหวะตอนนี้จริง ซึ่งถ้าปกติ เล่นเทคนิคคงจะมีความสุข แต่ไม่ค่อยมีเวลาตามมากขนาดนั้น ซึ่งก่อนหน้าผมคิดว่า หุ้นที่บริษัทยังโตและราคาเหมาะสมก็หายากบ้าง แต่คราวนี้หลังจากที่ตลาดพุ่งอีก ผมต้องมานั่งหาต่อ ว่ายังเหลือไรที่พอให้เสี่ยงกับการลงทุนได้บ้าง ลืมเรื่อง 3 ปีที่แล้วได้เลยครับ วิธีเลือกหุ้นผม เปลี่ยนไปอีกแบบเลย ยิ่งตลาดแบบนี้ต้องหาอีกว่าจะเลือกแบบไหนได้อีกบ้าง เมื่อก่อน 3 ปีก่อนผมใช้แค่ ไม่มีหนี้ รายได้คงที่ ปันผลสูงเมื่อเทียบกับราคา เมื่อปีที่แล้ว ใช้ รายได้ต้องโต กำไรต้องขึ้น ปันผลปานกลางไม่สูง ไม่ต่ำ ส่วนปีนี้ ต้นปี เลือกหุ้นที่มีแนวโน้มว่าต้องโตสูงเท่านั้น ปันผลช่างมัน ค่าใช้จ่ายทางการเงินต้องน้อย แต่คราวนี้ อีกเดื

บันทึกการลงทุน 13/9/2555 วันนี้ที่รอคอย QE3 แต่ผมก็หาหุ้นไม่ได้อีก

วันนี้ Fed หรือ ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาได้ประกาศอัดฉีด QE3 มาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งคราวก่อน QE2 ได้สร้างปรากฏการณ์ทำให้สินค้าโภคภัณฑ์และตลาดเงิน ตลาดทุน ยกราคากันทั่วโลกไปเมื่อคราวก่อน ซึ่งการคาดการณ์และการรอคอยของนักลงทุนก็จบลง ณ วันนี้ http://www.bloomberg.com/news/2012-09-13/fed-plans-to-buy-40-billion-in-mortgage-securities-each-month.html ซึ่งการอัดฉีดเงินรอบนี้ จะส่งผลกับตลาดเงินและตลาดทุนเช่นใด คงต้องรอดูกันต่อไปนะครับ แต่นโยบายที่น่าสนใจคือ ดอกเบี้ยต่ำติดดิน 0-0.25% ปกติการใช้ดอกเบี้ยต่ำจะเป็นการกระตุ้นการบริโภคในประเทศอยู่แล้ว ยิ่งดอกต้ำมากๆ ต้นทุนของเงินจะถูกลง คนจะกู้ไปใช้จ่าย หรือ ลงทุน เยอะขึ้น แต่หลายๆครั้งจะเห็นได้ว่า บางประเทศก็ติดดอกเบี้ยต่ำนานจนเกินไป แต่กำหนดเวลาของ US คือ ถึงปี2015 ก็คืออีก 3 ปีนั้นเอง นอกนั้นก็ ลงไปกับ Mortgage Debt ที่จะทำการซื้อไว้โดยใช้เงิน จาก QE3 นั้นเอง แต่สิ่งที่ผมกังวลคือ ค่าเงิน UsD จะอ่อนลงอีกไหม แล้วจะส่งผลกระทบต่อตลาดโลกอีกครั้ง ค่าเงินบาท จะแข็งขึ้น และการค้าเราจะทำยากมากกว่าเดิม แต่สุดท้ายเหตุการณ์จะเกิดอะไรขึ้น เราต้อง

ดอกเบี้ยทบต้น

รูปภาพ
ดอกเบี้ยทบต้นเป็นสิ่งที่สำคัญของนักลงทุน และผลตอบแทนของเงินทุน  การลงทุนนั้นมีหลากหลายรูปแบบและผลตอบแทนแตกต่างกัน ตามแต่ละวิธีการ ผลตอบแทนที่กลับมาที่พอร์ตเป็นสิ่่่งที่ใชัวัดผลให้นักลงทุนได้ว่าประสบความสำเร็จขนาดไหน เพื่อนผมหลายๆ คนมีวิธีการลงทุนที่ต่างกันไป และทำให้ผลตอบแทนที่แตกต่างกัน ผมลองคำนวณลากกราฟออกมาใน 20 ปี และผลตอบแทนทบต้นและผลตอบแทนคงที่่ตลอดเวลา ผลตอบแทน 2% 5% 8% 15% 22% 27% ให้สังเกตุดูว่าพอผ่านไปสัก 10 ปี ผลตอบแทนจะเริ่มแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด  ยิ่งผ่านเวลาไปนาน ผลตอบแทนที่ต่างกัน จะทำให้ผลตอบแทนต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ผลตอบแทนสรุป ถ้ายิ่งผลตอบแทนสูงยิ่งระยะยาว ยิ่งโต และความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นหลายๆ ครั้ง เราจะได้ยินว่า ทำได้ 10%กว่า ต่อปีตลอดเวลา ก็เป็นตำนานได้แล้ว

เครื่องหมาย X ของตลาดหลักทรัพย์

รูปภาพ
เครื่องหมายประเภทหนึ่งที่ได้เห็นกันปกติบนการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหุ้นไทยคือ X แต่เครื่องหมาย X คือ ย่อมาจาก Exclude หมายถึง แยกออก คือ ถ้าเราซื้้้้อ ณ วันที่หุ้นมีเครื่องหมาย เราจะไม่ได้สิทธินั้นๆ ส่วนใหญ่ที่ผมเห็นคือ XD, XR ซึ่งในตลาดมี เครื่องหมาย X ดังนี้ XD (Excluding Dividend) ผู้ซื้อไม่ได้สิทธิในเงินปันผล XI (Exclude Interest) ผู้ซื้อไม่ได้สิทธิในดอกเบี้ย XR (Exclude Right) ผู้ซื้อไม่ได้สิทธิจองหุ้นใหม่ XW (Exclude Warrants)  ผู้ซื้อไม่ได้สิทธิใน Warrants XA (Exclude All) ผู้ซื้อไม่ได้สิทธิในทุกอย่างในรอบนั้น ส่วนใหญ่ผมเห็นในกรณี ที่มี X หลายตัว พร้อมๆกัน ลองดูความหมายเต็มที่ๆ link นี้ก็ได้ครับ http://www.tsi-thailand.org/index.php?option=com_content&task=view&id=163&Itemid=1148

บันทึกการลงทุน 22/8/2555 P/E ตลาดหลักทรัพย์ ณ วันนี้ และสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต

รูปภาพ
วันนี้อีกวันที่ได้เห็น P/E ตลาดยังทำ NewHigh แต่ SET Index ยังไม่ทำ New high ซึ่งถือว่าค่า P/E สูงสุดตั้งแต่กลับมาเล่นหุ้นรอบนี้ ก่อนหน้าทีสูงกว่านี้คือช่วง ปลายปี 2009 ถึงกลางปี 2010 ผมนำค่า P/E ตลาดหลักทรัพย์มาให้ดูนะครับ 20/06/2012 SET 1232.29 P/E 17.24 03/05/2012 SET 1240.03 P/E 16.8 14/10/2009 SET 752.22 P/E 27.95 ที่สังเกตุล่าสุดก่อนนะครับ รอบไตรมาส 2 นี้ บริษัทขนาดใหญ่ในตลาด พวกพลังงาน ได้กำไรลดลงเยอะ และหลายๆ บริษัทได้ พอประกาศผลประกอบการ ไตรมาส 2 แล้ว จึงเป็นผลให้ค่า P/E สูงขึ้น สำหรับผม ความหมายคือ บริษัทเฉลี่ยในตลาด ณ ตอนนี้ มีความสามารถทำกำไรได้ลดลงเมื่อเทียบกับราคา แต่ ณ จุดนี้อาจเป็นจุดสำคัญ ถ้าในกรณีที่ ไตรมาส 3 -4 บริษัทส่วนใหญ่ทำกำไรได้สูงขึ้น ก็จะส่งผลต่อ P/E ที่ลดลงเอง ลองดู ณ จุดที่ P/E 27.95 เท่า แต่ในไตรมาสถัดไป ปีถัดไป P/E ตลาดกลับลดลง แต่ SET Index พุ่งทะยาน ก็มีโอกาส เป็นไปได้ แต่สุดท้าย เราซื้อหุ้นของบริษัท ไม่ใช่ตลาด ถ้าเราคัดเลือกหุ้นที่ดี และมั่นใจ สภาพตลาดก็ไม่น่ากังวลมากครับ

การบันทึกรายจ่ายแนวทางเพิ่มเงินออม

ผมเป็นมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่ง ที่หารายได้เลี้ยงปากเลี้ยงท้องแต่ใฝ่ฝันถึงอิสรภาพทางการเงิน เพื่อให้ได้กลับไปทำงานที่ตัวเรารัก โดยไม่ต้องใส่ใจเรื่องรายได้ เพราะฉนั้น เงินเดือนเป็นแหล่งที่มาของเงินลงทุน ซึ่งเงินลงทุนของผม ใช้จาก เงินออม นี้คือประโยชน์ของเงินออมข้อหนึ่ง ที่ผมเห็นคือ นำเงินออม ไปใช้ในสิ่งที่เราต้องการ เช่นซื้อของที่เราอยากได้ โดยไม่ต้องมีภาระใดๆ แต่สำหรับผม เงินออม ที่ผมนำไปใช้ คือ เงินลงทุน ซื้อสินทรัพย์ที่เพิ่มมูลค่าเร็วกว่า เอาเงินไปฝากในธนาคารอย่างเดียว ในตอนนี้การลงทุนผม ได้ประมาณ ปีละ 10%-20% รวมปันผลประมาณ 7 % รวมๆ เฉลี่ยประมาณปีละ 25 % แต่เงินออมผม ทำให้พอร์ตของผม โตได้ประมาณ 30% ต่อปี แต่ต่อไป คงต้องลดลง ด้วยพอร์ตการลงทุนที่โตขึ้น สิ่งที่ผมพบในวงจรของมนุษย์เงินเดือนคือ 1 เดือนมีประมาณ 30 วัน ใน 30 วัน คุณมีรายรับวันเดียว แต่ใน 30 วัน มีรายจ่ายทุกวัน ใครรู้ทั้งหมดบางว่า 30 วันที่เราจ่าย จ่ายไปกับอะไร และเท่าไร ตามหลัก เงินออม หรือ หนี้สิน = รายได้ - รายจ่าย ในวิธีการออมคนส่วนใหญ่ เหลือเท่าไรค่อยออม แต่สำหรับผมสมการ การออมคือ 0 = รายได้ - รายจ

อัตราส่วนทางการเงินที่ใช้บ่อยในการลงทุนของตลาดหลักทรัพย์

Financial Ratio หรือ อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญๆ ของการใช้เพื่อการลงทุนนั้น โดยทั่วไปมีอยู่ในเว็บไซด์ของตลาดหลักทรัพย์นั้นละครับ ROA(%) ROE(%) Net Profit Margin(%) P/E P/BV Book Value per share (Baht) Dvd. Yield(%) Last Price(Baht) Market Cap.

โอกาสทอง โลกในมุมมองของ Value Investor ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ปกติผมไม่ค่อยนำบทความคนอื่นมาลง แต่อ่านบทความนี้แล้วชอบมาก เป็นวิธีเลือกหุ้นจาก ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ต้นแบบ VI ในประเทศไทย ซึ่งอ่านแล้วนำเป็นไอเดียในการเลือกหุ้นได้อย่างดีครับ แต่ต้องอาศัยการอ่านงบการเงินให้แน่น แล้วคาดการณ์สภาพการดำเนินการธุรกิจให้ถูกต้องด้วย รับรอง หุ้นเด้ง ไม่ไกลเกินฝันแน่นอนครับ ที่มา http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=7&t=52948 โลกในมุมมองของ Value Investor         10 สิงหาคม 55 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร โอกาสทอง    ในการลงทุนนั้น ผมมักจะมีรายการของหุ้นบางตัวหรือบางกลุ่มอยู่ใน “หัว” ที่ผมจะคอยติดตามเป็นระยะๆ หุ้นเหล่านี้เป็นหุ้นที่ผมยังไม่ซื้อด้วยสาเหตุต่างๆ แต่โดยรวมแล้วมันยังไม่เป็นหุ้นคุณค่าที่น่าสนใจหรือมันยังไม่ถึงเวลาที่จะซื้อ อย่างไรก็ตาม หุ้นเหล่านี้ในบางช่วงเวลาหรือบางโอกาส มันอาจจะกลายเป็นหุ้นที่น่าสนใจมากและอาจจะทำเงินให้เรามหาศาล เรียกว่าเป็น “โอกาสทอง” ได้ ลองมาดูกันว่ามีหุ้นกลุ่มไหนหรือแบบไหนที่น่าจับตามอง และช่วงไหนจะเป็นโอกาสทองที่เราจะเข้าไปซื้อ    กลุ่มแรกที่ผมชอบติดตามแม้ว่าในระยะหลังๆ ความสนใจของผมจะน้อยลงบ้างก็คือ “หุ้นตัวจ