Gkeng Investment

วันนี้อีกวันที่ได้เห็น P/E ตลาดยังทำ NewHigh แต่ SET Index ยังไม่ทำ New high ซึ่งถือว่าค่า P/E สูงสุดตั้งแต่กลับมาเล่นหุ้นรอบนี้ ก่อนหน้าทีสูงกว่านี้คือช่วง ปลายปี 2009 ถึงกลางปี 2010 ผมนำค่า P/E ตลาดหลักทรัพย์มาให้ดูนะครับ 20/06/2012 SET 1232.29 P/E 17.24 03/05/2012 SET 1240.03 P/E 16.8 14/10/2009 SET 752.22 P/E 27.95 ที่สังเกตุล่าสุดก่อนนะครับ รอบไตรมาส 2 นี้ บริษัทขนาดใหญ่ในตลาด พวกพลังงาน ได้กำไรลดลงเยอะ และหลายๆ บริษัทได้ พอประกาศผลประกอบการ ไตรมาส 2 แล้ว จึงเป็นผลให้ค่า P/E สูงขึ้น สำหรับผม ความหมายคือ บริษัทเฉลี่ยในตลาด ณ ตอนนี้ มีความสามารถทำกำไรได้ลดลงเมื่อเทียบกับราคา แต่ ณ จุดนี้อาจเป็นจุดสำคัญ ถ้าในกรณีที่ ไตรมาส 3 -4 บริษัทส่วนใหญ่ทำกำไรได้สูงขึ้น ก็จะส่งผลต่อ P/E ที่ลดลงเอง ลองดู ณ จุดที่ P/E 27.95 เท่า แต่ในไตรมาสถัดไป ปีถัดไป P/E ตลาดกลับลดลง แต่ SET Index พุ่งทะยาน ก็มีโอกาส เป็นไปได้ แต่สุดท้าย เราซื้อหุ้นของบริษัท ไม่ใช่ตลาด ถ้าเราคัดเลือกหุ้นที่ดี และมั่นใจ สภาพตลาดก็ไม่น่ากังวลมากครับ

ผมเป็นมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่ง ที่หารายได้เลี้ยงปากเลี้ยงท้องแต่ใฝ่ฝันถึงอิสรภาพทางการเงิน เพื่อให้ได้กลับไปทำงานที่ตัวเรารัก โดยไม่ต้องใส่ใจเรื่องรายได้ เพราะฉนั้น เงินเดือนเป็นแหล่งที่มาของเงินลงทุน ซึ่งเงินลงทุนของผม ใช้จาก เงินออม นี้คือประโยชน์ของเงินออมข้อหนึ่ง ที่ผมเห็นคือ นำเงินออม ไปใช้ในสิ่งที่เราต้องการ เช่นซื้อของที่เราอยากได้ โดยไม่ต้องมีภาระใดๆ แต่สำหรับผม เงินออม ที่ผมนำไปใช้ คือ เงินลงทุน ซื้อสินทรัพย์ที่เพิ่มมูลค่าเร็วกว่า เอาเงินไปฝากในธนาคารอย่างเดียว ในตอนนี้การลงทุนผม ได้ประมาณ ปีละ 10%-20% รวมปันผลประมาณ 7 % รวมๆ เฉลี่ยประมาณปีละ 25 % แต่เงินออมผม ทำให้พอร์ตของผม โตได้ประมาณ 30% ต่อปี แต่ต่อไป คงต้องลดลง ด้วยพอร์ตการลงทุนที่โตขึ้น สิ่งที่ผมพบในวงจรของมนุษย์เงินเดือนคือ 1 เดือนมีประมาณ 30 วัน ใน 30 วัน คุณมีรายรับวันเดียว แต่ใน 30 วัน มีรายจ่ายทุกวัน ใครรู้ทั้งหมดบางว่า 30 วันที่เราจ่าย จ่ายไปกับอะไร และเท่าไร ตามหลัก เงินออม หรือ หนี้สิน = รายได้ - รายจ่าย ในวิธีการออมคนส่วนใหญ่ เหลือเท่าไรค่อยออม แต่สำหรับผมสมการ การออมคือ 0 = รายได้ - รายจ

Financial Ratio หรือ อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญๆ ของการใช้เพื่อการลงทุนนั้น โดยทั่วไปมีอยู่ในเว็บไซด์ของตลาดหลักทรัพย์นั้นละครับ ROA(%) ROE(%) Net Profit Margin(%) P/E P/BV Book Value per share (Baht) Dvd. Yield(%) Last Price(Baht) Market Cap.

ปกติผมไม่ค่อยนำบทความคนอื่นมาลง แต่อ่านบทความนี้แล้วชอบมาก เป็นวิธีเลือกหุ้นจาก ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ต้นแบบ VI ในประเทศไทย ซึ่งอ่านแล้วนำเป็นไอเดียในการเลือกหุ้นได้อย่างดีครับ แต่ต้องอาศัยการอ่านงบการเงินให้แน่น แล้วคาดการณ์สภาพการดำเนินการธุรกิจให้ถูกต้องด้วย รับรอง หุ้นเด้ง ไม่ไกลเกินฝันแน่นอนครับ ที่มา http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=7&t=52948 โลกในมุมมองของ Value Investor         10 สิงหาคม 55 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร โอกาสทอง    ในการลงทุนนั้น ผมมักจะมีรายการของหุ้นบางตัวหรือบางกลุ่มอยู่ใน “หัว” ที่ผมจะคอยติดตามเป็นระยะๆ หุ้นเหล่านี้เป็นหุ้นที่ผมยังไม่ซื้อด้วยสาเหตุต่างๆ แต่โดยรวมแล้วมันยังไม่เป็นหุ้นคุณค่าที่น่าสนใจหรือมันยังไม่ถึงเวลาที่จะซื้อ อย่างไรก็ตาม หุ้นเหล่านี้ในบางช่วงเวลาหรือบางโอกาส มันอาจจะกลายเป็นหุ้นที่น่าสนใจมากและอาจจะทำเงินให้เรามหาศาล เรียกว่าเป็น “โอกาสทอง” ได้ ลองมาดูกันว่ามีหุ้นกลุ่มไหนหรือแบบไหนที่น่าจับตามอง และช่วงไหนจะเป็นโอกาสทองที่เราจะเข้าไปซื้อ    กลุ่มแรกที่ผมชอบติดตามแม้ว่าในระยะหลังๆ ความสนใจของผมจะน้อยลงบ้างก็คือ “หุ้นตัวจ

วันนี้เป็นวันแม่ คงเปลี่ยนเรื่องเขียนบ้าง จากการลงทุนในทรัพย์สิน สินทรัพย์ หุ้น หลักทรัพย์อื่นๆ เป็นการลงทุนในครอบครัว ชีวิตคนรอบข้าง ผมเป็นผู้ชาย จึงไม่มีโอกาสได้อุ้มท้องหรือคงไม่มีโอกาสได้เป็นแม่แน่นอน แต่ผมมีคุณแม่ เป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัว ตั้งแต่เด็กๆ ก็ทำอะไรได้ไม่ค่อยเป็นเรื่องเป็นราวเท่าไร โดยเฉพาะเรื่องการเรียน เทียบกับการเรียนคุณแม่ในวัยเด็กแล้ว คงต้องบอกคนละเรื่องเลย สำหรับครอบครัวแล้ว การเลือกแต่งงานอาจเป็น สมาชิกในครอบครัวอย่างเดียวที่เราพอสามารถเลือกได้ แต่พ่อแม่เลือกลูกไม่ได้ ส่วนลูกก็เลือกพ่อแม่ได้ การมีครอบครัวนั้น ถือเป็นเรื่องใหญ่ของชีวิต ชีวิตมนุษย์ควรใช้ร่วมกับคนในครอบครัวมากกว่าส่วนอื่นๆ การอยู่กับครอบครัวไม่ได้มองว่าเป็นแค่การลงทุน ทั้งเงิน เวลา คำพูด การกระทำ แม้ในศาสนาพุทธเอง ก็ต้องมีศีลข้อ 3 ให้กับฆราวาสเพื่อรักษาครอบครัวให้ดี ไม่ว่าจะเป็นชาย หรือ หญิง ก็ตาม ยิ่งเป็นพ่อเป็นแม่คนด้วยแล้วไม่ใช่เรื่อง่าย ยิ่งคนเป็นฝ่ายหญิง มักจะมีคำว่าแม่อยู่ในจิตใจ สัญชาตญาณ อยู่ธรรมชาติ รวมทั้งความผูกพันที่อุ้มท้องมาตลอด 8-9 เดือน แต่หลังจากคลอดออกมาแล้ว แม่นั้น

ช่วงนี้ตลาดหลักทรัพย์ของเรา P/E ณ วันที่ 9/8/2555 นั้น อยู่ที่ 15.96 SET Index 1217-1218 โดยประมาณ ซึ่ง High รอบนี้ อยู่ประมาณ 1240 เป็นจุดที่ไม่มีการพุ่งทะยานต่อ อาจเรียกว่าเป็นจุดพักของตลาดเราจริงๆ เพราะอยู่ประมาณ 1000-1200 มานานมากแล้ว ส่วนผลประกอบการที่ช่วงนี้ออกมา การที่ได้เห็นกำไรของบริษัทมหาชน ในตลาดหลักทรัพย์โตกันทั่วไปนั้นเรียกว่า หายาก เมื่อเทียบกับ 2-3 ปี ที่แล้ว ส่วนใหญ่กำไรจะโตเยอะๆ แทบนับบริษัทได้ นอกนั้น มีแต่ทรงๆ ลดลง เพิ่มขึ้นแบบปกติ แต่สิ่งที่น่าสนใจสำหรับผมใน Q2 คือ กำไรของกลุ่มพลังงาน ที่เป็นหุ้นยอดนิยมของตลาดตลอด 3 ปีนี้ เริ่มคงที่แถมลดลงโดยส่วนใหญ่ และหุ้นบางตัวในกลุ่มเหล็กที่ผมเคยชื่นชอบ กำไรลดไปเยอะจนใจหาย และหุ้นสินค้า IT ที่ดูแล้วยังไม่ฟื้นจากน้ำท่วม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในสภาพ อาจมาจากหลายๆ ปัจจัย เช่น เศรษฐกิจยุโรป เศรษฐกิจจีน อินเดีย ที่เริ่มชะลอตัว ส่งผลต่อความต้องการ สินค้าอุปโภค บริโภคขั้นพื้นฐาน ลดถอยลง ทำให้รายได้และกำไรบริษัทพวกนี้ ลดลงไปด้วย สำหรับผม ถ้าการดำเนินของบริษัทไตรมาสที่เหลือยังประมาณนี้อยู่ ก็คิดว่าการหาหุ้นที่ดี ราคาเหมาะสม เริ่มใก

เงิน เงินสด เงินกระดาษ เงินเหรียญ เงินพลาสติก นี้เป็นประเภทของเงินที่ผมพอนึกออก เงินเป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงสุด ขนาดนั้นในงบดุลก็ยังไว้ในบรรทัดแรก เงินนี้หน้าที่หลักคือใช้เป็นสื่อกลางแทนมูลค่าในการแลกเปลี่ยนสิ่งของ หรือ สินทรัพย์อื่นๆ จะลงทุนในหุ้น ก็ต้องนำเงินไปซื้อ อยากได้บ้าน ได้รถ ก็ต้องนำเงินไปซื้อ จะกินข้าวก็ต้องหาเงินไปซื้อ จะหาหมอ รักษาร่างกาย ก็ต้องนำเงินไปจ่าย อยากท่องเที่ยวก็ต้องมีเงินเป็นค่าเดินทาง เงินเป็นสิ่งประดิษฐ์หรือนวตกรรมที่มนุษย์ยุคโบราณ ที่ส่งต่อมาถึงยุคปัจจุบันได้อย่างแนบเนียบ และก็ยังมีการพัฒนาระบบเงินต่อไปไม่หยุดยั้ง ไม่ว่า บัตรเครดิต บัตรATM เงินดิจิตอล ก็สร้างความสะดวกให้กับสังคมเราอย่างมาก ในการซื้อขายแลกเปลีย่น แต่สุดท้ายเงินก็ทำหน้าที่ของเงินก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงจากยุคโบราณคือ เพื่อวัดมูลค่าและสะดวกในการแลกเปลี่ยน เงิน สามารถแลกเปลี่ยนวัตถุท่ีมีมูลค่าได้มาก จะคนหลายคน ให้ความสำคัญกับเงินมากเกินมูลค่าของมันจริงๆ เงินสำคัญหรือไม่ ทุกคนคงตอบได้ไม่ลำบาก แต่ให้มูลค่าความสำคัญกับเงินสูงขนาดไหนนั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนลืมจุดนี้ไป เงินใช้ได้แค่แลกเปล

หลายๆ ครั้ง การลงทุนในหลักทรัพย์ต่างๆ หลายๆ คนขาดทุน แต่ไม่ค่อยสนใจเท่าไรว่า ลงทุนขาดทุนเท่าไร เพราะอะไร บางคนขาดทุนจากหุ้น หรือ ตราสารต่างๆ แต่ก็ไม่รู้สึกตัวมากเท่าไร ถ้ายิ่งรู้สึกว่าต้องเอาคืน หรือเพิกเฉยกับการขาดทุนแล้วรีบหาทางเอาคืน หลายๆคน ชอบคิดว่าขาดทุนได้ก็กำไรได้ แต่ปัญหาคือ เราไม่รู้ว่าเราเสียไปเท่าไร การได้รับกำไรมาเป็นเท่าไร ถ้าเกิดเราลองไปดูนักลงทุนระดับโลกหลายคน ว่า สิ่งที่สำคัญ ที่เห็นพ้องกัน คือ รักษาเงินต้น ถ้าเงินต้นยังลดลง ไม่ต้องห่วงเรื่อง ผลตอบแทน มันจะต้องลงตามต้นของเราด้วยนั้นเอง หลายคนพยายามลงทุนเพื่อการเอาคืน แต่บางครั้ง ก็ลืมไปว่าต้องเอาคืนเท่าไร นี้เป็นข้อผิดพลาดในการลงทุน ส่วนใหญ่จะประมาณจำแค่ว่า คราวทีแล้ว แดง คราวนี้ต้องเขียว แต่ไม่รูเขียวเท่าไร การลงทุนที่ขาดทุน ต้องใช้กำไรที่มากกว่าการขาดทุน ที่ผมลองคำนวณให้คร่าวๆ ในรูปภาพที่เห็นนะครับ ตัวอย่างนี้คือ เราใช้เงินลงทุนเพื่อลงทุนทั้งหมด พอขาดทุนต้องนำเงินที่เหลือมาลงทุนต่อ เช่น ถ้าลงทุนครั้งแรก 10,000 บาท ขาดทุนไป 50% เหลือเงิน 5,000 ครั้งต่อไปให้นำเงินลงทุนทั้งหมดเหมือนเดิม เราขาดทุนเท่าไร เ