บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก กันยายน, 2012

บันทึกการลงทุน 30/9/2555 กิจกรรมหลังสิ้นไตรมาส3/55 SET Index แตะ 1300 รอบ 16 ปี

รูปภาพ
ในวันศุกร์ที่ 28 เดือนกันยายน พ.ศ. 2555 เป็นวันแรกในชีวิตการลงทุนที่ได้เห็น ตลาดหุ้น หรือ SET index 1300 จุด แม้จะปิดตัวไม่สามารถยืนอยู่ที่ 1300 ก็ตาม ส่วนค่า P/E ก็เท่ากับ 18 เท่าไปละครับ ซึ่งก็ขอให้ผลประกอบการในบริษัทมหาชนโดยรวมในไตรมาส 3 นั้น ลดระดับค่า P/E ลงมาได้ สำหรับผมสิ่งที่สนใจสำหรับการสิ้นไตรมาสคือหลังจากนี้ ช่วงเวลาประมาณ 45 วัน งบการเงินของบริษัททั้งตลาด กำลังจะออกมาให้เห็น่ว่า ไตรมาส 3 นั้น การทำงาน ผลงานนั้นเป็นอย่างไร ตอนนี้ คนในตลาดไม่รู้ว่าคิดอย่างไรกับ ช่วงเวลานี้ เวลานี้ผมคิดว่าเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นไทย ได้รับผลดีจากเงินลงทุนทางอ้อมจากต่างประเทศมาก จนทำให้ราคาหุ้นบางตัววิ่งไปจากราคาปกติมาก ช่วงนี้ถ้าหาหุ้นถูกใจไม่เจอ ผมจะพยายามไม่ลงทุนแม้อยากจะลงทุนมากก็ตาม ส่วนใครมีกลยุทธ์อย่างไร ก็พิจารณาดีๆ ด้วยนะครับ โชคดีในการลงทุนครับ

วินัยการเงิน (discipline of finance)

วินัยการเงินเป็นเรื่องของแต่ละบุคคลที่จำต้องมี ซึ่งแต่ละบุคคลนั้นจะมีความเข้มแข็งในวินัยการเงินมากน้อยเพียงใด ก็เป็นเรื้่องแล้วแต่บุคคล ซึ่งความยากง่ายของวินัยการเงินนั้นก็เป็น ขอบเขต กฎเกณฑ์ที่แต่ละบุคคลตั้งขึ้นมาอีก ที่นึง ขอบเขตของวินัยการเงินนั้น การสร้าง นั้นไม่ยาก จะทำให้ดูดี สมเหตุ สมผลอย่างไรก็ได้ แต่ที่ยากคือ การอยู่ในวินัยการเงินให้ได้ตลอดรอดฝั่ง ทุกเดือนๆ หรือตลอดระยะเวลาที่เราตั้งเป้าไว้ วินัยการเงินง่ายๆ เช่น เก็บออม 10% ทุกครั้งที่ได้รับเงิน แล้วแบ่งใช้ในชีวิตประจำ 60% ใช้ฟุ่มเฟือง 30% วินัยการเงินของผม คือ ใช้ 40% ลงทุน 60% เพราะผมเชื่อในการลงทุนถึงได้กล้าทุ่มกับมันมาก มีบ้างที่ผิดวินัย ในบางเดือน เพราะผมรวมงบของฟุ่มเพื่อย กับ ชีวิตประจำวันไว้ด้วยกัน ยิ่งถ้าคุณทำวินัยการเงินให้มีความยากแล้ว การถึงตามที่หมายแล้วสำเร็จนั้น เป็นเรื่องยากมาก แต่ถ้าคุณทำสำเร็จแล้ว ก็ควรภาคภูมิใจในชีวิตของคุณด้วย ความยากที่สุดของวินัยการเงินคือ -ความจำเป็นที่ต้องใช้เงินในสิ่งที่จำเป็น ถ้าเดือนไหนคุณป่วย มีประเด็น ญาติ แฟน เดือนร้อน เตรียมใจได้ครับ -ความอยากได้สิ่งที่ไม่ใช่รายจ่าย

บันทึกการลงทุน 14/9/2555 หลัง QE3 ออก และวิธีการเลือกหุ้นผมที่ต้องเปลี่ยนไป

รูปภาพ
หลัง ธนาคารสหรัฐอัด QE3 ลงมา สิ่งแรกที่่ส่งผลต่อตลาดหุ้นคือ กำลังซื้อ แรงเงิน เทลงมาในตลาดหุ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน วัน14/9/2555 หลังจากที่ทราบข่าว ปริมาณการซื้อขาย ก็พุ่งสูงกว่าเฉลี่ย สังเกตุได้จากมูลค่าการซื้อขายพุ่งไป เกือบ 60,000 ล้าน ส่วนต่างชื้อก็เข้ามาซื้อหุ้นเยอะขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ช่วงนี้เป็นช่วงที่ผมต้องหลบทางให้กับตลาดบ้าง ถ้าจะเห็น จังหวะตอนนี้จริง ซึ่งถ้าปกติ เล่นเทคนิคคงจะมีความสุข แต่ไม่ค่อยมีเวลาตามมากขนาดนั้น ซึ่งก่อนหน้าผมคิดว่า หุ้นที่บริษัทยังโตและราคาเหมาะสมก็หายากบ้าง แต่คราวนี้หลังจากที่ตลาดพุ่งอีก ผมต้องมานั่งหาต่อ ว่ายังเหลือไรที่พอให้เสี่ยงกับการลงทุนได้บ้าง ลืมเรื่อง 3 ปีที่แล้วได้เลยครับ วิธีเลือกหุ้นผม เปลี่ยนไปอีกแบบเลย ยิ่งตลาดแบบนี้ต้องหาอีกว่าจะเลือกแบบไหนได้อีกบ้าง เมื่อก่อน 3 ปีก่อนผมใช้แค่ ไม่มีหนี้ รายได้คงที่ ปันผลสูงเมื่อเทียบกับราคา เมื่อปีที่แล้ว ใช้ รายได้ต้องโต กำไรต้องขึ้น ปันผลปานกลางไม่สูง ไม่ต่ำ ส่วนปีนี้ ต้นปี เลือกหุ้นที่มีแนวโน้มว่าต้องโตสูงเท่านั้น ปันผลช่างมัน ค่าใช้จ่ายทางการเงินต้องน้อย แต่คราวนี้ อีกเดื

บันทึกการลงทุน 13/9/2555 วันนี้ที่รอคอย QE3 แต่ผมก็หาหุ้นไม่ได้อีก

วันนี้ Fed หรือ ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาได้ประกาศอัดฉีด QE3 มาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งคราวก่อน QE2 ได้สร้างปรากฏการณ์ทำให้สินค้าโภคภัณฑ์และตลาดเงิน ตลาดทุน ยกราคากันทั่วโลกไปเมื่อคราวก่อน ซึ่งการคาดการณ์และการรอคอยของนักลงทุนก็จบลง ณ วันนี้ http://www.bloomberg.com/news/2012-09-13/fed-plans-to-buy-40-billion-in-mortgage-securities-each-month.html ซึ่งการอัดฉีดเงินรอบนี้ จะส่งผลกับตลาดเงินและตลาดทุนเช่นใด คงต้องรอดูกันต่อไปนะครับ แต่นโยบายที่น่าสนใจคือ ดอกเบี้ยต่ำติดดิน 0-0.25% ปกติการใช้ดอกเบี้ยต่ำจะเป็นการกระตุ้นการบริโภคในประเทศอยู่แล้ว ยิ่งดอกต้ำมากๆ ต้นทุนของเงินจะถูกลง คนจะกู้ไปใช้จ่าย หรือ ลงทุน เยอะขึ้น แต่หลายๆครั้งจะเห็นได้ว่า บางประเทศก็ติดดอกเบี้ยต่ำนานจนเกินไป แต่กำหนดเวลาของ US คือ ถึงปี2015 ก็คืออีก 3 ปีนั้นเอง นอกนั้นก็ ลงไปกับ Mortgage Debt ที่จะทำการซื้อไว้โดยใช้เงิน จาก QE3 นั้นเอง แต่สิ่งที่ผมกังวลคือ ค่าเงิน UsD จะอ่อนลงอีกไหม แล้วจะส่งผลกระทบต่อตลาดโลกอีกครั้ง ค่าเงินบาท จะแข็งขึ้น และการค้าเราจะทำยากมากกว่าเดิม แต่สุดท้ายเหตุการณ์จะเกิดอะไรขึ้น เราต้อง

ดอกเบี้ยทบต้น

รูปภาพ
ดอกเบี้ยทบต้นเป็นสิ่งที่สำคัญของนักลงทุน และผลตอบแทนของเงินทุน  การลงทุนนั้นมีหลากหลายรูปแบบและผลตอบแทนแตกต่างกัน ตามแต่ละวิธีการ ผลตอบแทนที่กลับมาที่พอร์ตเป็นสิ่่่งที่ใชัวัดผลให้นักลงทุนได้ว่าประสบความสำเร็จขนาดไหน เพื่อนผมหลายๆ คนมีวิธีการลงทุนที่ต่างกันไป และทำให้ผลตอบแทนที่แตกต่างกัน ผมลองคำนวณลากกราฟออกมาใน 20 ปี และผลตอบแทนทบต้นและผลตอบแทนคงที่่ตลอดเวลา ผลตอบแทน 2% 5% 8% 15% 22% 27% ให้สังเกตุดูว่าพอผ่านไปสัก 10 ปี ผลตอบแทนจะเริ่มแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด  ยิ่งผ่านเวลาไปนาน ผลตอบแทนที่ต่างกัน จะทำให้ผลตอบแทนต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ผลตอบแทนสรุป ถ้ายิ่งผลตอบแทนสูงยิ่งระยะยาว ยิ่งโต และความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นหลายๆ ครั้ง เราจะได้ยินว่า ทำได้ 10%กว่า ต่อปีตลอดเวลา ก็เป็นตำนานได้แล้ว

เครื่องหมาย X ของตลาดหลักทรัพย์

รูปภาพ
เครื่องหมายประเภทหนึ่งที่ได้เห็นกันปกติบนการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหุ้นไทยคือ X แต่เครื่องหมาย X คือ ย่อมาจาก Exclude หมายถึง แยกออก คือ ถ้าเราซื้้้้อ ณ วันที่หุ้นมีเครื่องหมาย เราจะไม่ได้สิทธินั้นๆ ส่วนใหญ่ที่ผมเห็นคือ XD, XR ซึ่งในตลาดมี เครื่องหมาย X ดังนี้ XD (Excluding Dividend) ผู้ซื้อไม่ได้สิทธิในเงินปันผล XI (Exclude Interest) ผู้ซื้อไม่ได้สิทธิในดอกเบี้ย XR (Exclude Right) ผู้ซื้อไม่ได้สิทธิจองหุ้นใหม่ XW (Exclude Warrants)  ผู้ซื้อไม่ได้สิทธิใน Warrants XA (Exclude All) ผู้ซื้อไม่ได้สิทธิในทุกอย่างในรอบนั้น ส่วนใหญ่ผมเห็นในกรณี ที่มี X หลายตัว พร้อมๆกัน ลองดูความหมายเต็มที่ๆ link นี้ก็ได้ครับ http://www.tsi-thailand.org/index.php?option=com_content&task=view&id=163&Itemid=1148