บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก 2013

บันทึกการลงทุน 27/12/2556 ณ วันสุดท้ายของการลงทุนปี 2556

รูปภาพ
ปีนี้สำหรับผมถือเป็นปีที่ตื่นเต้นมากทั้ง ครึ่งปีแรก ที่เดินไปไหนก็ได้ยินแต่ หุ้นๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ยิ่งเวลาผมเดินทาง เรือด่วนเจ้าพระยา MRT จะเห็นคนคุยเรื่องหุ้น อ่านหนังสือหุ้น แม้ผมจะเรียกว่าโชคดีหรือไม่ก็ ไม่ทราบ ที่ช่วงนั้น ไม่มีเงินมาลงทุนเท่าไร และครึ่งปีหลังที่คำว่า หุ้นๆๆๆๆๆ หายไป พอร์ตผมก็ดิ่งลงเหวมากด้วย แถมย้ายที่ทำงาน มีเงินพอลงทุน ยิ่งลง ยิ่งดึงลงผลตอบแทนลงไปอีก T_T ต้องเรียกว่าปีนี้ เป็นปีที่หุ้นดัชนีปลายปีต่ำกว่าต้นปี เรียกว่าไม่ได้เห็นมาหลายปีแล้วครับ ส่วนปีหน้าจะเป็นไง ก็ไม่ทราบเหมือนกัน เพราะปัญหาการเมืองยังอยุ่ ต่างชาติขายหุ้น เอาเงินกลับประเทศ จาก 30฿/$ ไปเป็น 32฿/$ ได้ ก่อนหน้า รมตกระทรวงการคลังไล่บี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย หาทางแก้ทุกวิธีทาง แต่ตอนนี้ไม่ต้องทำไร ก็เงินอ่อนตัวไปเยอะละครับ ดูจากรูป นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิไปเกือบ 2แสนล้าน ส่วนนี้น่าจะเป็นจุดสำคัญของปีนี้ คือการขนเงินกลับของต่างชาติ ไม่ว่าด้วย QE หรือ การเมือง ก็ตาม การลงทุน IPO ที่ทำกำไรกับคนได้อย่างดี ในต้นปี มาปลายปี เริ่มหมดสภาพ ปีหน้า ไม่รู้จะเป็นไงต่อ อย่างน้อยควรต้องลงต่อ มั้ง

บันทึกการลงทุน 15/12/2556 เหตุการณ์ไม่คาดถึงเกิดได้ทุกเวลา

วันนี้เวลา ตี 5 เป็นเวลาที่คุณพ่อผมเสีย ซึ่งไม่เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงซะทีเดียว แต่ก็ทำให้ผมตกใจได้มากเหมือนกัน คุณพ่อผมนั้น ท่านไม่แข็งแรงมาตั้งแต่ผมเด็กๆแล้วครับ จำได้ว่าตอนผมอยู่ ม.6 พ่อก็ไม่สามารถที่จะเดินเหินได้ ตอนผมปี 2 พ่อก็ต้องออกจากงาน ตอนผมทำงานกระทรวงการคลังพ่อเริ่มขยับตัวไม่ได้ จนถึงที่ผมเร่ิมเรียนปริญญาโท พ่อเริ่มกินข้าวเองไมไ่ด้ จนมาตอนน้ำท่วม พ่อผมขยับตัวไม่ได้ หลังจากน้ำท่วมปี53 ที่แล้ว พ่อผมก็เริ่มป่วย เป็นแผลกดทับในปี 55 ตามด้วยติดเชื้อในกระแสโลหิต ต้องเจาะคอ เจาะท้อง เพื่อทำการรักษาร่างกายคุณ ก็รวมๆ ผ่านมาได้แค่ครึ่งปี สภาพร่างกาย คุณพ่อก็คงถึงจุดสุดท้ายพอดี วันนี้ ตอนตี 5 พ่อผมก็จากไปอย่างสงบมาก ทั้งที่เมื่อวานไม่มี เสมหะ ไม่มีไข้ ไม่มีความดันผิดปกติ ไปแบบสบายจริงๆ ทั้งที่ก่อนหน้านั้น พ่อผมได้มีอาการความดันตก เหลือ 60-40 มาแล้ว พยาบาลบอกเตรียมใจได้ แต่ก็ผ่านมาอย่างสบาย 2 ครั้ง ซึ่งต่างกับการจากไปจริงของพ่อผมวันนี้มาก ที่ผมจินตนาการคือ พ่อผมต้องร่างกาย แย่กว่านี้ จน ค่อยๆ จากไป แต่ความจริงคือ พ่อผมจากไปอย่างสงบจริงๆ ครับ ถ้าเปรียบร่างกาย สุขภาพของพ่อผมเป็น

บันทึกการลงทุน 1/12/2556 เริ่มเข้าสู่ช่วงการเมืองที่ร้อนแรงที่แท้จริง

รูปภาพ
คืน 30 เดือนพฤจิกายน เป็นคืนที่เริ่มมีคนเสียชีวิตครั้งแรกตั้งแต่เริ่มชุมนุมที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง เหตุเกิดในวันเสาร์นะครับ ซึ่งต้องรอปฎิกิริยาของตลาดในวันจันทร์ว่าจะไปทางไหน รวมทั้งแนวโน้มการชุมนุมทั้งสองฝ่ายด้วยที่ต้องดูตั้้งแต่วันนี้ไปด้วย แต่ ณ ปัจจุบัน สิ่งหนึ่งที่มีคนไม่มั่นใจในตลาดของเรานั้นคือกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ คนไทยอาจจะเริ่มชินกับม็อบ(แม้ผมไม่อยากจะให้ชินกันเลย) แต่คนต่างชาตินั้น เงินของเค้ามีค่ามากกว่าอะไรทุกอย่างในประเทศของเรา พอถึงเวลาเมื่อเค้ารู้สึกไม่ปลอดภัย เค้าจะนำเงินกลับทันทีทัน ไม่ว่าจะกำไร หรือ ขาดทุน เพราะอย่างน้อย เงินเค้ายังนำไปสร้างผลตอบแทนในรูปแบบอื่นได้ โดยที่มีความเสี่ยงทางการเมืองน้อยกว่า อย่างน้อยภาพก่อนเข้าเดือนสุดท้ายนักลงทุนต่างชาติก็ขายไปแล้ว 1.5แสนล้าน ในยอดรวมในปีนี้ ณ วันนี้ตลาดยังไม่รับข่าวที่เกิดขึ้น เมื่อเปิดวันจันทร์มาถึงจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อะไรจะเกิดขึ้น Mr.Market จะทำตัวอย่างไร ขอให้โชคดีในการลงทุนนะครับ

บันทึกการลงทุน 22/11/2556 เมื่อพายุมาหมูก็บินได้ เมื่อแรงดึดดูด 300 เท่ามา คงมีแต่ซุปเปอร์ไซย่าเท่านั้นที่บินได้

รูปภาพ
ปีนี้เป็นปีที่น่าจดจำสำหรับคนเล่นหุ้น หรือ นักลงทุน ไม่ว่าจะเป็นด้านที่หุ้นบวก หรือ หุ้นลบ แม้จะเหลือเวลาอีก 1 เดือน แต่สำหรับผม คงต้องจำปี 2556 ไว้ เพราะ มันทำให้รู้จัก นายตลาด หรือ Mr.Market ของพวกเราเป็นอย่างดี แค่ปีเดียว เมื่อต้นปี ตอนเนืองจากปีที่แล้ว ผมยังรับรู้ความรู้สึกของคนอยากลาออกจากงานประจำเพื่อมาเล่นหุ้นอย่างเดียว ไม่ว่าจะได้อ่านจากหนังสือเล่มไหนก็ตาม ทุกคนจะคิดว่าเราสามารถทำได้ ซึ่งหนังสือหลายๆ เล่มก็จะสอดไส้ความคิดแนวๆ นี้ไว้ โดยปกติ ซึ่งถ้าใครลองดูแล้วขาดทุน ชีวิต ณ จุดนี้อาจเป็นช่วงที่แย่สำหรับคุณ แม้สำหรับผม ปีนี้ก็ถือเป็นปีแรกในรอบ 4-5 ปี ที่ผลการลงทุนติดลบ ยิ่งถ้าไม่นับปันผลด้วย ปีนี้ถือว่าล้มเหลวเลยด้วยซ้ำ ขาดทุนครั้งแรกๆ ในปีการลงทุน แต่ในอีกด้าน เมื่อผมดู บันทึกการลงทุนปีนี้ ผลกำไรหลายตัวเริ่มไม่โต คงที่ แม้จะมีภาษีนิติบุคคลที่ลดลงไปแล้วก็ตาม หลายตัวก็เรียกว่า มีแต่ทรงกับทรุด ปีนี้ผมว่าถ้าใครโตได้ด้วยการดำเนินกิจการแบบเดิมๆ โดยไม่มีสถานการณ์พิเศษ เช่น รายได้อื่นๆ หรือ การควบรวม ผมถือว่า เจ๋ง ส่วน P/E ของตลาด เมื่อตอนต้นปี 1400-1500 นั้น ประมาณ 19 เท่า แต

ผมมีความรู้เรื่องลงทุนในหุ้นขนาดไหน ผมมีความสามารถในการลงทุนขนาดไหน

โดยปกติ ผมเป็นคนที่ชอบเจอคำถามแบบนี้ เล่นหุ้นมานานยัง กำไรเป็นไง ดีไหม รวยไหม เครียดไหม ถือไรอยู่ เล่นตัวไหน มีหุ้นไรแนะนำบ้าง เป็นคำถามที่คนส่วนใหญ่ชอบถามผม และ เจอคำถามแบบนี้บ่อยๆ มาก จนสร้าง Step ลำดับการตอบได้หมดแล้ว แต่ผมเป็นคนโรคจิตอย่าง ชอบเปิดพอร์ตให้กับคนที่สนิทๆ ดูได้ไม่กังวลไรเท่าไร ซึ่งต้องยอมรับอย่างว่า พอร์ตผมค่อนข้างจะสร้างคำถามเชิงบวกให้ระดับนึง ถึงแม้ช่วงนี้จะสร้าง New low  และมีหุ้นแดงเยอะสุด ในรอบ 2 ปี อยู่ก็ตาม ดังนั้น การตอบคำถาม ส่วนใหญ๋บางครั้งก็จะกวนประสาทคนถาม เช่น หาหุ้นได้ไง ก็ตอบง่ายๆ ว่า ฟังคนอื่นมาบ้าง ดูรายการ Money talk บ้าง แล้วมาแกะงบ ดูธุรกิจบ้าง ตอบบ้างคำถามเช่น รู้ได้ไงว่าหุ้นนี้จะโต ส่วนใหญ่ก็ตอบว่า "กูก็ไม่รู้" เพราะไม่รู้จริงๆ แม้หลายๆครั้ง มั่นใจมากๆ ว่า ธุรกิจนี้มันจะโตแน่นอน แต่บางครั้งมันก็ทำราคาร่วงให้เราเห็น ชัดๆ เหมือนกันด้วย ไม่ว่าผมจะอยู่ตลาดมาตั้งแต่ปี 2544 จนมา ณ วันนี้ก็ 12 ปีแล้ว ก็ยังยอมรับว่า ไม่คุ้น แล้วคิดว่า มันคงไม่คุ้นไปตลอดชีวิตเหมือนกัน สำหรับที่เราคิดว่ามันดี มันต้องขึ้น แต่ราคาลากเราลงซะตกใจ ส่วนใหญ่หล

ณ จุดนี้จนเลิกทำงาน เราสามารถหาเงินได้กี่บาท

วันนี้ผมพูดเรื่องเกษียณกับเพื่อน ก็มีบ่นๆ กันไปสำหรับมนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆ แม้ผมจะวางแผนการเกษียณอายุไว้สวยหรูเพียงใด ว่าจะได้เงินปันผลจากหุ้นแบบใช้ชีวิตได้ และทำแผนปฎิบัติการณ์ไว้อย่างดี เป้าหมายที่ชัดเจน แต่ผมไม่เคยคำนึงถึง ทรัพยากรเลย ด้านทรัพยากรนั้นสำหรับผมคือการนำไปสร้างผลผลิตคือ ดอกผลจากสินทรัพย์ ประเภทต่างๆ โดยมีต้นทุนเป็น เงินออม ค่าใช้จ่ายทุกอย่าง ดังนั้นผมจึงเริ่มสงสัยว่า ตัวผมเองนั้น จะสร้างเงินออมได้เท่ากันแน่ และชีวิตจากนี้ไปผมจะสร้างเงินออมได้เท่าไร ถ้าผมทำงานอีก 20ปี ผมจะสร้างเงินจากงานได้ดังนี้ ก็ได้ตัวแปรออกมาดังนี้ Y = จำนวนปีที่ต้องการจะทำงาน M = จำนวนเดือน ทั้งหมดของชีวิตที่เหลือ หรือ M = Y * 12 B = จำนวนเงินเดือนต่อเดือน S = จำนวนเงินที่คาดว่าจะออม ต่อเดือน ดังนั้นจะได้ จำนวนเงินทั้งหมด = B * M หรือ B* (Y* 12) จำนวนเงินเก็บทั้งหมด = S * M จำนวนเงินเก็บทั้งหมดคือ จำนวนเงินที่ผมจะนำไปลงทุนได้นั้นเองครับ ปกติพวกเรามักจะนึกถึงแต่รายจ่าย จนบางทีเราลืมไปว่า เรามีความสามารถในการหาเงินขั้นต้นได้เท่าไร สมการนี้ น่าจะพอทำภาพร่างๆ ของเงินท

สังคมคือการรวมตัวอยู่ของมนุษย์ ตลาดหุ้นคือการรวมตัวอยู่ของผู้แสวงหาผลตอบแทน

ช่วงนี้เป็นอีกช่วงที่สังคมไทย ได้มีการแสดงออกของความเห็นทางการเมือง แม้จะไม่เหมือนครั้งก่อนๆ เป็นอีกกลุ่มนึง ที่เห็นต่าง แต่รวมๆ สำหรับปรากฎการณ์ของการชุมนุมครั้งใหญ่ในประเทศไทยของเรา จะไม่ค่อยมี ม็อบชนม็อบ ซึ่งสำหรับผมก็ดีแล้ว ไม่งั้นจะกลายเป็นสงครามกลางเมืองไป แต่ส่ิ่งที่น่าสนใจกว่าสำหรับผมก็คือตลาดหุ้นมีแนวโน้มอ่อนแอ และ ไม่เสถียรภาพเอาซะเลย พอมีสาเหตุทางการเมืองก็ร่วงเอาๆ พอจบบางประเด็นก็ขึ้นเอาๆ ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เราน่าจะเริ่มชินกับการประท้วง ก่อม๊อบ ไม่ว่าจะฝั่งไหนก็ตาม ม๊อบและการประท้วงอยู่คู่ประเทศไทยมาสักใหญ่ละ แต่สิ่งที่ผมกลัวกว่า คือ เราเริ่มชินกับมัน สังคมเหมือนยอมรับการมีอยู่ของม๊อบไปแล้ว ไม่ว่าจะสีไหน ขั่วไหนก็ตาม แต่อีกอย่างที่ผมกลัวกว่าคือ ระดับผู้บริหารของประเทศ ละเลยเรื่องการแก้ปัญหาที่ก่อให้เกิดม๊อบ หลายๆครัั้ง หลายๆรัฐบาลทั้งๆ ที่รู้ว่าการกระทำ บางอย่างเป็นการเรียกแขก เค้าก็ยังทำ เพราะไม่ว่าโดนเหตุผลใดๆ ก็ตาม ที่ทำให้เค้ารู้สึกว่ามันไม่ใช่ การตอบปัญหาของผู้บริหารประเทศ ผู้ออกกฎหมาย หรือผู้บังคับใช้กฎหมายก็ตาม หลายๆครั้งทำให้หลายๆคน มีอารมณ์ร่วม และเก็บกด จน

บันทึกการลงทุน 29/10/2013 เป้าหมายเล็กๆ อีกขั้น และเป้าหมายต่อไปได้ทำให้ชัดเจนขึ้น

ช่วงปลายปีที่แล้ว ผมได้ทำเป้าหมายในการลงทุนที่ได้ตั้งไว้ตอนเรียนปริญญาตรี เศรษฐศาสตร์ ม.กรุงเทพ ไว้สำเร็จ คือ มีมูลค่าพอร์ตหุ้นได้ 1 ล้านบาท แม้จะช้าไปเกือบ 2 ปี และวันนี้ ผมก็ได้ทำเงินต้น และ เงินสด รวมกันแล้วได้ 1 ล้านบาทพอดี จากการฝากเงินเมื่อคืน ก็ความรู้สึกผม เงินล้านเมื่อต่อผมเรียน ตรี กับตอนผม 32 ปี มันมูลค่าลดลงไปเยอะจัง เมื่อก่อนผมว่า ล้านนึงน่าจะได้ คอนโด ดีๆ ห้องนึ่ง เดี่ยวนี้ ธรรมดาๆ ก็ 2.5ล้านบาทไปละ ก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องของอัตราเงินเฟ้อ ที่กัดกินมูลค่าพอร์ตของเรา แต่ไม่เป็น ผมจะบริหารให้พอร์ตให้ชนะเงินเฟ้อได้ทุกปี แต่ปีนี้ รู้สึกจะแพ้ ตลาด และ เงินเฟ้อ แถมขาดทุนอีก ถ้าไม่นำปันผลมารวม แต่สิ่งที่ผมพอใจสุดในเป้าหมายนี้คือ การมีวินัยการเงินในการนำเงินเดือนที่ได้มาจากการทำงานมาออมอย่างสม่ำเสมอ มีหายบ้างตามจังหวะชีวิต ทำจำเป็นต้องใช้เงิน แต่พอผมทำกราฟเงินเก็บในชีวิตมันผันผวนมาก อาจจะบอกถึงวินัยการเงินผมที่ไม่มั่นคงก็ได้ครับ แต่สรุปๆๆ แผนการเงินผม คือ 4 ปี ต้องเก็บได้อีก ล้าน เฉพาะเงินสดนะครับ เป้าหมายคือ ล้านที่สอง ปักธงไว้เลย................ แผนปฎิบัติการณ์

บันทึกการลงทุน 17/09/2556 บันทึกมองรอบเล็กๆ ของนายตลาด และกลับมามองที่จิตเรา

รูปภาพ
สำหรับผมต้องเรียกว่า ช่วงปีนี้ มีรอบของตลาดหลักทรัพย์ให้เห็นหลายแบบอยู่ ซึ่งมีตั้งแต่วิ่งขึ้น วิ่งลงอย่างรุนแรง มีทั้งไฟล่อเม่า และ ยาฆ่าเม่า หลายขนาน ซึ่งไม่ค่อยได้เห็นบ่อยเท่าไรนักใน 1 ปีการลงทุน หรือจะมองว่าจบรอบ หรือ ที่ก็ได้นะครับ สำหรับผมต้องเรียกว่า ช่วงปลายปี55 ถึงเดือน 6/56 เรียกว่า เสียกระบวนการลงทุนไปเยอะเหมือนกัน ด้วยการที่เห็นหุ้นนั้นวิ่งไม่คิดชีวิต และ จำนวนหุ้นที่แปลงเป็นมูลค่าที่สูงสุดในชีวิตของผมแล้ว ทำให้ใจเกิดความละโมบอย่างรุนแรง ทุกอย่างดูแล้ว สดใสงดงามหมด จนถึงหลักการที่ตัวเองตั้งไว้หมด และสุดท้ายก็โดนนายตลาดลงโทษช่วง 3-4 เดือนที่ผ่่านมา เริ่มเห็นผลที่เราเข้าไปซื้อ ทั้งๆที่รู้ว่า มัน แพง ไม่ได้ปันผลตามที่ต้องการ และของที่เรามีอยู่ต้นทุนต่ำๆ ก็ดันไปทำให้สูงขึ้นมาได้ตั้งเยอะ ผลก็คือ ตามรูปครับ แต่ข้อดีรอบนี้คือ ผมก็ใจเย็น ไม่ cut loss รวมทั้งเฉลี่ยขาลง ในหุ้นที่มั่นใจไงก็มีปันผล ไม่เจ๊ง และ ซื้อหุ้นบางตัวเพิ่มกลับเข้าไปอีก ในตามหลักการลงทุนที่ผมตั้งไว้ แม้จะแสดงถึงบางอย่างที่ไม่เหมาะสม เช่น ไม่ตัดขาดทุน ตามที่ตั้งกฎไว้ ไม่มีเงินเหลือซื้อหุ้นตอนเปลี่ยนข

วันสิ้นเดือนของมนุษย์เงินเดือน

เผลอแปปๆ ผมก็เป็นมนุษย์เงินเดือนจะครบ 4 ปีแล้ว เริ่มชอบวันหยุด ขี้เกรียจทำงาน อยากหาทางพักร้อน หาทางกลับบ้านไวๆ ฟังแล้วมีแต่เรืองไม่ดีๆ ตัวอย่างแย่ๆ ของมนุษย์เงินเดือนสามัญๆ คนหนึ่งเลยนะครับ สิ่งที่ผมรู้สึกดีที่สุดในการเป็นมนุษย์เงินเดือนคือ วันเงินเดือนออก  จากบริษัทเงินเดือนออกทุกวันที่ 25 เปลี่ยนบริษัทมา เงินเดือนออก วันที่ 28 นับว่า ทำมาจะ 3 เดือนแล้ว ผมก็รู้สึกยังปรับตัวไม่ได้เลย เพราะเงินมันหมุนไม่ทัน ส่วนเสาร์ อาทิตย์แรก ของผม ก็ซื้อของจัดเต็ม และเสาร์ อาทิตย์ ต่อๆ ไปก็ประหยัดเอา :D ส่วนใหญ่เงินเดือน ผมจะแบ่งไว้ลงทุน และ ให้พ่อแม่ ก่อน และที่เหลือ ค่อยมาใช้ แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนจาก เพื่อนร่วมงานรอบๆตัว วันสิ้นเดือน วันเงินเดือนออก เป็นช่วงที่ทุกคนต้องจ่ายหนี้ ที่ผ่อน เพื่อครอบครัว หรือ ตัวเอง ให้มึความสุข สะดวกมากขึ้น นับเป็นช่วงเวลาที่ต้องวางแผนการเงินได้ชัดเจนมาก ช่วงเวลาที่มีหนี้สิน ยิ่งยาวมาก กรณีที่อยู่อาศัย บางที่ คำนวนแล้ว แทบเกษียณแล้วยังผ่อนไม่หมดก็มีครับ ซึ่งบางครััง ถ้าเราใช้จ่ายไม่ระมัดระวัง อาจทำให้เรามีปัญาหาการเงินได้ ซึ่งจะส่งผลต่อจิตใจในการดำเนินช

บันทึกการลงทุน 27/08/2556 ปรับฐานต่อเนือง กับ จิตใจ ความคิดก่อนเงินเดือนออก

รูปภาพ
ณ วันนี้ ตลาดหุ้นก็ยังลงต่อเนื่อง ไม่ว่า ด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่ตอนนี้ก็ความเป็นจริง ก็ต่ำกว่า ต้นปีแล้ว แต่สำหรับผม ตอนนี้ ถ้าเทียบกับต้นปี คือ ขาดทุนละ จากกำไร High 70% หรือ กำไร 17% แถมมีขาดทุนมหาศาล หลายตัวอยู่ แต่สิ่งที่ผม อาจเลือกตั้งโปรแกรมในสมองไว้แล้ว ให้พร้อมกับการขาดทุน แม้จะไม่คิดว่า ขาดทุนขนาดนี้ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อราคาหุ้นลงมาก แน่นอนว่ามีหุ้นดี ที่ราคาเหมาะสม และ ปันผลที่ดี ตามมา ซึ่งตอนนี้เริ่มมีปันผล เกิด 10% กลับมาอีกแล้ว แต่จะเลือก ต้องดูด้วยนะครับ ว่า กำไร ที่เป็นเงินสดจริงๆ และมีแนวโน้มว่า เกิดมาได้ต่อๆ ไปนะครับ ส่วนตอนนี้ ด้วยหุ้นร่วงมาติดๆ เงินสดผมหมดละ และพรุ่งนี้เป็นวันเงินเดือนออก ผมคิดว่าจะใส่เงินไปเท่าไรเพื่อ ซื้อหุ้นดี ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่หุ้นจะลงต่อ หรือว่า หุ้นขึ้นนะครับ แต่สิ่งนั้นคือ อนาคต ไตรมาศนี้ ผมเจอ อ่านงบ เดากำไรถูก แต่ราคาหุ่งลงไม่สนใจอะไร ก็เจอมาละ ดังนั้น อนาคตเป็นไง เราควบคุมไม่ได้ แต่พอหาแนวโน้มได้ ดังนั้น สิ่งที่่ผมเลือกคือ ซื้อหุ้นที่ พื้นฐานทางธุรกิจยังโตได้ กำไรยังต่อเนื่อง และปันผลสมำเสมอ แม้จะทำให้ผมขาดทุนก็ตามครับ นี้ค

บันทึกการลงทุน 24/08/2556 การปรับฐานและ P/E ที่เริ่มถูกลง

รูปภาพ
ผมเริ่มจำไม่ได้ว่า P/E ตลาดต่ำกว่า 15 ครั้งสุดท้ายเมื่อไร อย่างน้อยก็ไม่ใช่ภายในปี 2556 แน่นอน ซึ่งสำหรับผม ค่า P/E เป็นค่าตัวเลขหนึ่งที่บอกถึงสถาพของบริษัท ณ ปัจจุบันได้ดี ในกรณีนี้ คือ P/E ของตลาดหลักทรัพย์นั้นเอง แต่ค่า P/E นั้น มาจาก ราคา/กำไร ณ วันนี้ คือ 14.7 แต่ ถ้าผมจะกังวลคือ ถ้า ในตลาด ค่า P/E  ต่ำลง แต่ จากงบ Q2/2556 นั้น หลายบริษัท ก็มี กำไรที่ลดลงด้วย ดังนั้น ถ้าสมมุติ เศรษฐกิจถดถอยจริง แนวโน้มที่ E จะต่ำลงก็น่าจะมีต่อไปเรือยๆ และจะทำให้ SET index ถดถอย ลงไปอีก แม้วันนี้คุณได้ P/E 14.7 เท่า แต่อาจจะกลับเป็น P/E ที่แพงขึ้นได้อีก ถ้าบริษัทจดทะเบียน ยังกำไรลดลง แต่อย่างไร ก็เป็นแค่ความเสี่ยงครับ เมื่อมีการปรับฐานใหญ่ๆ ในตลาด เศรษฐกิจจริงก็จะเริ่มปรับฐานด้วย อย่างน้อย ตอนนี้ค่าเงินบาทก็อ่อนค่ามาเยอะมาก เมื่อเทียบกับ ใช้ เดือน 4-5 อย่างไม่ต้องมีใครมากระตุ้นไรเพิ่มด้วย อาจจะส่งผลดีต่อพวกการขายสินค้าต่างประเทศ สุดท้าย ทุกอย่างก็เป็นการคาดเดานะครับ อาจเกิดจริงไม่เกิดจริงนั้น ก็ขึ้นอยู่กับ อนาคต นะครับผม ขอให้โชคดีในการลงทุนครับ

บันทึกการลงทุน20/08/56 ช่วงถดถอยของตลาดหุ้นและแรงขายมหาศาล

มาถึงวันนี้ งบไตรมาส 2/2556 นั้นได้มาเกือบหมดละ ซึ่งหลายๆตัว ผมก็ได้ อ่านบางบริษัท ซึ่งส่วนใหญ่ กำไร รายได้ ลดลง และ ต้นทุนบางส่วนก็สูงขึ้น ในพวกอุปโภค บริโภค ส่วนที่เห็นกำไรดีขึ้น ก็คือ พวก เทคโนโลยี และ ธนาคาร แต่ผมก็ดูแค่หลักๆ ที่สนใจนะครับ ไม่ได้ดูอะไรมากทั้งตลาดหลักทรัพย์ หลายๆ อย่างโครงสร้างของประเทศคงต้องเปลี่ยนไปแน่ๆ  แต่สิ่งที่เห็นชัดเจนในตลาดต่อนี้ ไม่ว่าหุ้นตัวที่กำไรดี หรือ ไม่ดี ราคาหล่นลงอย่างชัดเจน บางบริษัทผมมเห็นกำไรขึ้นมาเป็น 20-50% แต่ ราคาหุ้นกลับร่วงอย่างสวนทาง ซึ่งตอนนี้ ตลาดน่าจะหาจุดต่ำสุดในรอบปีอยู่ ซึ่่ง ผลประกอบการตอนนี้ ดี ไม่ดี อย่างไร ก็คือเรื่องของบริษัท บริษัทกำไรสูง บริษัทกำไรลด บริษัทขาดทุน หรือ อื่นๆ แต่ที่แน่ๆ คือ แรงขายเริ่มเยอะ ราคาก็ลดลงอย่างไม่สนใจ ผลประกอบการ สิ่งที่ทุกคนคาดหวังไว้สวยงามในอนาคต ก็กลายเป็นสิ่งตรงกันข้าม บางสำนักข่าวในต่างประเทศก็มองว่า ประเทศไทย เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย เป็นสิ่งที่มองในแง่ลบมาก ซึ่งถ้าเป็นเศรษฐกิจถดถอยจริง คงไม่ใช่เวลาสั้นๆ ที่ตลาดหุ้นจะกลับมาน่าสนใจ พูดถึงเศรษฐกิจแล้ว ถ้าอยากรู้ว่า เศรษฐกิจดี ก็ให้ดูว

เตรียมพร้อมสู่การอ่านงบ Q2/2556

วันนี้ เป็นวันสุดท้ายของเดือน 7 ซึ่งอีก 15 วันข้างหน้าจะครบกำหนด 45 วันหลังสิ้นไตรมาส 2 ซึ่งงบของบริษัทส่วนใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์จะเริ่มทยอยออกมา ซึ่งในไตรมาส 1 จะถึงกลางไตรมาส 2 เราได้ผ่านจุดสูงสุดของดัชนีในรอบ 16 ปีมาแล้ว และหลังจากมาตรการ QE ที่กำลังจะลดลงในอนาคต สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือ การไหลกลับของเงินทุน หรือการขายของนักลงทุนต่างชาตินั้นเอง เป็นส่วนหนึ่งทำให้ ดัชนีทรัพย์บ้านเราลดลง แต่สิ่งที่ผมสนใจมากกว่า หลังจากตลาดหุ้นได้กลายเป็นความน่าสนใจของคนมากมาย ตอนนี้ หลังจากทำ ตัวตามอารมณ์ของนายตลาดแล้ว ก็ทำให้คนหายไปเยอะทีเดียว ส่วนเรื่องงบการเงิน ผมมองว่าไตรมาส 1 ส่วนใหญ่ งบโตน้อยกว่าราคาที่พุ่งขึ้นไป ทำให้ราคาหลักทรัพย์นั้น ดูแพงมากไปด้วยซ้ำ ยิ่งคนหาเงินปันผล แบบผม นี้แทบเรียกว่า เลิกซื้อหุ้นได้เลย ดังนั้น กำไรใน ไตรมาส 2 อาจทำให้ตัวหลักทรัพย์หรือหุ้น กับมาดูเหมาะสมกับมูลค่าต่อ ส่วนราคาเป็นอย่างไร นั้นคือสิ่งที่เราคาดการณ์ลำบาก ณ ตอนนี้ งบกลุมการเงิน เริ่มออกมาให้เห็น คร่าวๆ แล้ว ไม่น่าใจจะดีเหมือนกันทุก Bank ไหม แต่ที่รู้ๆ หุ้นผมตกไปมากกว่า ต้นทุนแล้ว แม้งบอาจจะออกมาดี แต่ร

บันทึกการลงทุน 27/06/2556 เรื่องตลกกับนายตลาด และ มอร์ฟืนในตลาดหุ้น

รูปภาพ
ช่วงนี้ หลังจากตลาดปรับตัวลงมา 20% หรือประมาณ 1600 มาแถวๆ 1300 ปลายๆ ด้วยข่าวที่ว่า ธนาคารกลางอเมริกา หรือ FED มีแนวโน้มว่าจะยกเลิก มาตรการ QE ในกลางปีหน้า ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ทำการปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว นักลงทุนต่างชาติก็ทำการขายอย่างต่อเนื่อง ในเดือนเดียว รวมทั้งหมด 60,000ล้านบาท สรุป แค่เดือนมิถุนายน เดือนเดียว ขายสุทธิรวมมากกว่าทั้งปีอีก แต่วันนี้สิ่งที่ผมประหลาดใจมากกว่าคือ GDP มวลรวมของ สหรัฐอเมริกา นั้นออกมาต่ำกว่าการคาดการณ์ แต่สิ่งทีเกิดขึ้นคือ หุ้นกลับขึ้นทั้วโลก ซึ่งคนส่วนใหญ่ให้เหตุผลว่า ทุกคนคลายกังวลว่า QE น่าจะยังต้องมีต่อไป ปัญหาคือ ตอนนี้คนอยากให้เศรษฐกิจไม่ดี เพื่อให้ QE ยังคงอยู่ต่อไป QE คือนโยบายทางการเงินที่ใช้อย่างแพร่หลายในประเทศ แต่ สำหรับผมเป็นนโยบายที่ทำให้เกิดเงินเฟ้อได้ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ ดีกว่าใช้ลดดอกเบี้ยอีก แต่ปัญหาคือเงินที่เยอะขึ้นนั้น ใช้กลับมาที่สินทรัพย์ทางการเงิน หาใช้ไปลงทุนทางตรง ทำให้เงินทะลักมาทั่วโลก ทำให้ตลาดหุ้นไทยได้รับเงินส่วนนั้นไปด้วย เมื่อถ้าเลิกอัดฉีดเงินต้องไหลกลับประเทศ ทำให้เงินที่มาซื้อ หุ้น ทอง พันธบัตร ต้องเอา

ตลาดเคยตกลงหนักสุดแค่ไหน

ปี 1994 เป็นที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์สูงสุดในประวัติศาสตร์ คือ 1789.18 ซึ่งเมื่อผ่านไปอีก 4 ปี  ปี 1998 ดัชนี ได้ต่ำสุดที  204.59 ตลาดหลักทรัพย์นั้นเคยร่วงหนักสุดในประวัติศาตร์บ้านเรา คือ 1789.18-204.59 =  1584.59 ถ้าคิดง่ายๆ ร่วงเยอะกว่า ดัชนี ณ  วันนี้อีก ซึ่งถ้าดูตัวเลขแล้ว คือ ตกลงไป  88.56515% สำหรับผม ช่วงนั้นเรียกว่า เศรษฐกิจล่มสลายเลยทีเดียว ซึ่งปัจจุบัน นั้น ตลาดเริ่มปรับตัวลง ซึ่งผมก็มองว่า 1789 นั้นเป็นสิ่งที่ไปถึง ไม่ใช่ช่วงนี้แน่นอน แต่ปัญหาคือ คนเริ่มกลัว ความกลัวเร่ิมปกครุมตลาด ทุกคนจะสงสัยว่า มันจะลงไปแค่ไหน 10% 20% แต่ผมแค่ยก สถิติให้ดูว่า 4 ปี มันเคยลงได้ เกือบ 90% แต่ก็แค่สถิต เล็กน้อย นะครับ ของจริงต้องดูปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วยนะครับ โชคดีในการลงทุนนะครับ

บันทึกการลงทุน 16/05/2556 ตรวจสุขภาพบริษํทและแนวโน้มที่เห็นชัดเจน

ในวันที่ผมเขียนบันทึกการลงทุน ยังเป็นช่วงหุ้นยังอยู่ เกิน1600 อยู่ และเป็นวันที่งบการเงินควรต้องมาครบทุกบริษัทแล้วนะครับ สิ่งที่น่าสนใจคือ ปีนี้ ค่าเงินบาท เป็นต้นทุนที่สร้างความหนักใจให้กับผู้ประกอบการมาก โดยเฉพาะผู้ส่งออก บริษัทไหนเน้นส่งออก แล้วยังสามารถทำกำไรให้เติบโตได้ ผมต้องบอกว่า บริษัทนั้นเก่งมากครับ อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ เรื่อง ภาษีที่ลดลง ทำให้กำไรสุทธิ นั้นต้องเพิ่มขึ้นในกรณีที่บริษัทที่ขายค้าได้เท่าเดิม แต่สิ่งที่ผมสังเกตุได้ Q1/2556 เป็นปีที่ กำไร ขาดทุน มีเฉลี่ยๆ พอๆกัน แถมยังตัวเลขค่อนข้างเหวี่ยงมากด้วยครับ ผมเห็นพวก กำไรลดลง 50% นั้นเยอะมาก ซึ่งอาจเป็นสัญญาธุรกิจหลายประเภทนั้น ไม่ได้ ขยายตัวเหมือนปี 55 แล้ว สิ่งที่ต้องสนใจคือ เหมือนกำไรลดลง ราคาหุ้นเป็นอย่างไร บางตัวกำไรลดก็ไม่ลง มาก แต่บางตัวกำไรลดลงอย่างไมไ่ด้คาดการณ์ไว้ ราคาก็ร่วงมากเหมือนกัน ส่วนใหญ่หุ้นที่ตกเยอะๆ จะเป็นก่อนหน้า ซึ่งจากช่วงนี้ไป การลงทุนจะยากขึ้นในการเดาการเจริญเติบโต ซึ่งผมมองว่าบริษั่ไทยเริ่มเข้าช่วงเติบโตช้า ตามวัฎจักรเศรษฐกิจ ที่โตมาก่อนหน้า 2-3ปี ที่ผ่านมา เราต้อง

ค่าเงินบาท กับ ดอกเบี้ย (Thai Bath Currency rate & Interest rate)

ช่วงนี้ประเทศไทยเราได้มีภาวะค่าเงินบาทที่แข็งค่ามาก ซึ่งค่าเงินถือเป็นต้นทุนอย่างหนึ่ง ในการค้าขายกับต่างชาติ โดยปกติค่าเงินมักจะมีความสัมพันธ์กับทุนสำรองของประเทศ ประเทศใดมีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ ค่าเงินยอมได้รับความเชื่อถือด้วย ส่งผลให้ค่าเงินนั้นมีคนต้องการ และทำให้ค่าเงินนั้นแข็งไปด้วย นอกจากซื้อสินค้า ก็ยังเป็นเรื่องอุตสหกรรม ท่องเทียว เมื่อเราไปเที่ยวที่ต่างประเทศ เราต้องใช้สกุลเงินของประเทศนั้นๆ แต่เนื่องจากเงินก็เป็นสินค้าชนิดหนึ่ง ยิ่งเดียวนี้ มีพวก Forex การเก็งกำไรของค่าเงินก็แสดงให้เห็นชัดเจนขึ้น ปัญหาของค่าเงินที่แข็ง คือ การขายของไปต่างประเทศเราจะแพงขึ้น โดยที่เราไม่ต้องทำไรเลย เช่นเดียวกับการท่องเที่ยว สินค้าทุกอย่างในบ้านเราจะแพงขึ้นอย่างไม่ต้องทำอะไรเลยเช่นกัน ส่วนข้อดีคือ เราสามารถซื้อของจากต่างประเทศได้ถูกลง และไปเที่ยวต่างประเทศได้อย่างถูกลง เช่นเดียวกัน คราวนี้เรื่องดอกเบี้ย โดยปกติดอกเบี้ยที่พูดถึงคือดอกเบี้ยของธนาคารกลางแห่งประเทศไทย ในการปรับขึ้นหรือลงนั้น จะส่งผลต่อธนาคารพาณิชย์ ให้มีต้นทุนที่ต่างกันไป ทำให้ต้องปรับตามไปในทิศทางนั้นด้วย ซึ่งถ้า

การลงทุนกับเทคโนโลยีที่ผ่านมา

จุดสูงสุดของดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยคือ  1789.16 เมื่อปี 2537 หรือ ปี 1994 นั้นเอง ด้วยระยะเวลาที่ผ่านมาถึง 19 ปี ณ ปัจจุบัน ก็มาอยู่แถวๆ 1600 ได้แล้ว ซึ่งส่วนตัวผมว่า ดัชนีตลาดน่าจะสามารถผ่านจุดสูงสุดเก่าได้แน่นอน ส่วนตัวผมอยู่เข้าๆออกๆ ในตลาดมาร่วม 13 ปี ไม่ทันรอบ 1789.16 รอบที่แล้ว แต่หวังว่าจะทันเห็นรอบนี้ ก็ทำให้คิดถึงสมัยนั้น ในสมัยนั้นการลงทุนผมว่าค่อนข้างลำบากมาก ด้วยตัวเทคโนโลยีที่ขอแค่โทรศัพท์ยังต้องรอเป็นปีๆ ทีวีที่การจะดูพวก Bloombreg หรือ CNN ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ต้องมีจานดาวเทียม พวกนี้ทำให้ผมนึกถึงการเปรียบเทียบยุคสมัยก่อนกับปัจจุบันแล้ว มันมีอะไรที่พัฒนาในทางที่ดีบ้าง การซื้อขาย ต้องโทรศัทพ์ไปสั่งคำสั่งซื้อขาย และการเปิดพอร์ตการลงทุนนั้นต้องมีเงินเป็นแสนถึงจะเริ่มต้นกันได้ ในยุคปัจจุบันการลงทุนง่ายมาก แค่คุณมีโทรศัพท์มือถือที่สามารถใช้โปรแกรมซื้อขายหุ้นกับสัญญาณโทรศัพท์ คุณก็สามารถสั่งซื้อหุ้นได้อย่างง่ายดาย หนังสือพูดถึงกระแสในการลงทุนปัจจุบันผมเห็นหนังสือประเภท VI จำนวนมากในตลาด มีทั้งของไทย ของต่างประทเศ ทั้งแนวทางการลงทุน หรือ แนวคิดข้

รู้จักธุรกิจโรงผลิตไฟฟ้า2 Electric Power Production 2: ประเภทของโรงไฟฟ้า

จากบทความที่แล้ว รู้จักธุรกิจโรงผลิตไฟฟ้า Electric Power Production โดยปัจจุบ้นการแบ่งผู้ผลิตไฟฟ้า มี 3 แบบ คือ ธุรกิจผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (ไอพีพี) (Independent Power Producer-IPP) ธุรกิจผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (เอสพีพี) (Small Power Plant - SPP) ธุรกิจผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็กมาก (วีเอสพีพี) (Very Small Power Plant - SPP) โดยความหมายตาม การไฟฟ้าฝ่ายผลิต ที่ให้ไว้มีดังนี้นะครับ ธุรกิจผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (ไอพีพี) (Independent Power Producer-IPP) - ผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระจะเป็นผู้ผลิตเอกชนที่ใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ ในการผลิตไฟฟ้า เช่น ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน โดยมีกำลังการผลิตค่อนข้างสูงเพื่อให้มีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์  http://www.egat.co.th/index.php?option=com_glossary&Itemid=896&id=96&letter=%E0%B8%9C ธุรกิจผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (เอสพีพี) (Small Power Plant - SPP) - ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก ที่มีกำลังผลิตไฟฟ้าที่ขายเข้าระบบ 10-90 เมกะวัตต์ http://www.egat.co.th/index.php?option=com_glossary&Itemid=896&id=163&letter=%E0%B8%9C ธุรกิจผู้ผลิตไฟ

รู้จักธุรกิจโรงผลิตไฟฟ้า Electric Power Production

รูปภาพ
ธุรกิจโรงผลิตไฟฟ้าเป็นอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานซึ่งมีบริษัทผลิตไฟฟ้าจำนวนหนึ่งอยู่ในบริษัทมหาชน หรือ มีหุ้นให้เราซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ให้เราได้ลงทุน พอพูดถึงพลังงานเป็นธุรกิจผลิตไฟฟ้าเป็นธุรกิจที่ต้องลงทุนสูง ในอดีตถือเป็นธุรกิจของภาครัฐ คือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย   http://www.egat.co.th/  จัดการโดยรัฐวิสาหกิจ แต่พอประเทศไทยเริ่มเข้าสู่สากลมากขึ้น รวมถึงการเข้าสู่เศรษฐกิจทุนนิยม ธุรกิจที่ต้องลงทุนหนักๆ และผูกขาดโดยภาครัฐ ก็ต้องเปิดให้เอกชนมาเข้ามาผลิตด้วย ด้วยเหตุผลดังนี้ 1. เพิ่มการแข่งขันในกิจการพลังงาน ทําให้กิจการพลังงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น และผู้บริโภค มีพลังงาน ใช้อย่างเพียงพอในราคาที่เหมาะสม  2. ลดภาระการลงทุนของรัฐและลดภาระหนี้สินของรัฐ/ประเทศ  3. ส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น ในกรณีของโครงการผู้ผลิตไฟฟ้า รายเล็ก (SPP) ซึ่งใช้ระบบพลังงานความร้อนร่วม (Cogeneration) เป็นต้น  4. ทําให้ผู้ใช้ไฟฟ้าได้รับบริการและคุณภาพไฟฟ้าที่ดีขึ้น  5. สนับสนุนให้ประชาชน มีส่วนร่วมในการพัฒนากิจการด้านพลังงานของประเทศ  6. ช่วยพัฒนาตลาดทุน (ผมช

สูตรดอกเบี้ยทบต้น Compound Interest formula และ ค่าเสียโอกาส opportunity cost

ผมเคยเขียนเรื่องดอกเบี้ยทบต้นไปแล้วครั้งนึ่ง ที่ http://gkenginvest.blogspot.com/2012/09/blog-post.html  ซึ่งตอนนั้นผมไม่ได้วิธีคิดว่ามันมาอย่างไร ซึ่งดอกเบี้ยทบต้น เป็นการคิดเรื่องผลตอบแทนแบบง่าย ซึ่งสูตรก็ดังนี้นะครับ เงินต้น * (1*อัตราดอกเบี้ย%)^จำนวนปี สมมุตินะครับ ว่าผมอยากรู้ว่าผมฝากดอกเบี้ย 5% ในเงินต้น 10,000บาท ใน 4 ปี จะได้เท่าไร ก็นำมาเข้าสูตรเลยครับ 10,000*(1.05)^4 ก้ได้ 12,155.06 บาท ครับ พวกนี้ผมใช้เรื่องต้นทุนค่าเสียโอกาสตามวิชาเศรษฐศาสตร์นะครับ สมมุติถ้าเราเอาเงินก้อนนึงไปทำอะไร ไม่ว่าจะมีสาระ หรือ ไม่มีสาระก็ตาม เราลองเอา อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก หรือ ฝากประจำ มาคำนวณดูเล่นๆ ก็ได้ครับ ว่าเราเอาเงินไปทิ้ง วา่ผ่านไปกี่ปี ได้เงินเท่าไร และลองเปรียบเทียบกับสิ่งท่เราจะใช้ดู สมมุติ ตัวอย่าง ท่านพ่อ ท่านแม่ ส่งเราไปเรียน มหาลัย เดือนละ 8000บาท + ค่าเทอม ปีละ 40000 บาท เป็นจำนวน 4 ปี ค่าเทอม 4 ปี 40000 * 4 =  160000 เงินเดือน 8000*12*4 =  384000  รวมแล้วได้ เท่ากับ 384000+160000 =  544000 ต้นทุนส่งเราจบ ปริญญาตรี ครับ ในกรณีที่พ่อแม่เอาเงินก้อนนี้ไปฝ

เริ่มต้นเรียนรู้บัญชี How to start accounting

บทความนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเริ่มต้นกับบัญชี ซึ่งนักลงทุนที่เป็นสายพื้นฐานจริงๆ หรือที่ต้องการเข้าใจ เข้าถึงบริษัทนั้นๆ ได้ ความสามารถขั้นพื้นฐานคือวิชาบัญชี ทำไมถึงต้องรู้วิชาบัญชี? เพราะวิชาบัญชีเป็นการบันทึกรายการธุรกรรมทั้งหมด ที่เป็นกิจกรรมของบริษัท สรุปไว้ตามหัวข้อบัญชีแต่ละเรื่อง แต่ละเงิน เช่น งบดุล งบกำไรขาดทุน และ งบกระแสเงินสด เป็นต้น ถ้าเราสามารถเข้าใจความหมายของบัญชี เราย่อมจะพอมองเห็น ความเป็นไปของธุรกิจในช่วงเวลานั้นๆ ซึ่งสำหรับคนที่ไม่ได้เรียนการบัญชีมา หรือ เรียนมาน้อย นั้นว่าการเริ่มเรียน เริ่มศึกษานั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย สำหรับตัวผมในช่วงแรก ก็อ่านแบบงง ต้องใช้เวลานานในการแกะงบมากๆ จะทำให้เราสงสัย พอสงสัยก็จะกลับมาหาอ่านเพิ่ม หรือ ไปอ่านตามเว็บบอร์ดต่างๆ สุดท้ายก็ขอให้ขยันๆ ทำการบ้านโดยการแกะงบนะครับ ส่วนแหล่งหนังสือของวิชาบัญชี ผมก็แนะนำไปอ่านตามหนังสือเรียนของมหาวิทยาลัย ส่วนผมก็แนะนำตำราของมหาวิทยาลัยรามคำแหงนะครับ ความจริงมีทั้ง คลิปการสอนด้วย และตำราวิชาบัญชี ด้วยครับ เริ่มต้นด้วย วิชา AC101 ถึงเป็นพื้นฐานสุดของการรู้จักวิชาบัญชี เริ่มจากรู้จัก

บริษัทหลักทรัพย์จุดเริ่มต้นของนักลงทุน

คำสั้นๆ ที่เราคุ้นหูในการซื้อขายหุ้น “มาร์เก็ตติ้ง” “โบรกเกอร์” หรือ เรียกสั้นว่า “มาร์” “โบรก” คือ เป็นบริษัทที่ให้บริการการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ตลาดรอง หรือ ตลาดหลักทรัพย์ที่เราคุ้นเคยนั้นเอง อีกนัยหนึ่ง คือ คนที่เป็นคู่หูในการซื้อขายหุ้นของเรา ซึ่งส่วนใหญ่ประเด็นที่นักลงทุนทั่วไปชอบถามกันคือ  “ โบรกคุณดีไหม ” ซึ่งบางครั้งผมก็นึกไม่ออกหรอกครับ อะไรมันดีกว่าอย่างไร ส่วนใหญ่พอเปิดระบบ Tread ให้ดู ก็จะเหมือนบ้างต่างบ้าง ตามแต่ละบริษัทที่มีให้บริการ นอกนั้นก็เครื่องมือที่ให้ใช้วิเคราะห์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นของ ผู้ให้บริการอื่นๆ เช่น. efinancethai ( http://www.efinancethai.com/) เป็น ต้น   ซึ่งผมลองไล่ประเด็นที่ส่วนใหญ่ชอบเปรียบเทียบกัน มีดังนี้ครับ -        โปรแกรม Treading แต่ละรายมีต่างกันบ้าง อาจใช้ชองร่วม เช่น Steaming, Oneclick หรือ ใช้ของเฉพาะแต่ละบริษัทที่มี -        โปรแกรม Mobile Treading แต่ละบริษัท อาจมีต่างกันไปตามที่ใช้ แต่ของผมคือ Steaming -        โปรแกรมวิเคราะห์หุ้น พวกตีกราฟได้ ส่วนใหญ่ข้อมูลอย่างน้อยก้ ต้องมีให้สืบค้น รูปแบบของราคา Patten of

บันทึกการลงทุน 4/4/2556 วันที่หุ้นตกจนพลิกบวก BOJ กับนวตกรรมเครื่องมือนโยบายการเงิน

รูปภาพ
วันนี้เป็นอีกวันที่มีดัชนีตลาดหลักทรัพย์ได้ผันผวนอย่างคาดการณ์ไม่ได้อีกหนึ่งวัน โดยตอนเช้าเร่ิมต้นด้วยหุ้นตกลงมา 40 จุด ไปทดสอบแนวต้านที่ 1480 แต่ก็เห็นได้ชัดว่า ไม่ผ่าน และทำการวิ่งขึ้นมาแถว 30 จุดจนหมดช่วงเช้า และช้่วงบ่ายหลังจากนายกเรา ไม่โดนชี้มูลความผิด หุ้นก็วิ่งจนกลับมาปิตตลาดที่ 7 จุด ดังนั้นสำหรับผม ตอนนี้ตลาดกำลังสงสัยว่าจะลงอย่างเต็มที่ได้รึยัง แต่ก็ยังมาได้แค่ 1480 แต่คราวนี้ จะวิ่งขึ้นก็คงไม่เต็มที่เท่าไร คงจะออก Sideway มั้งครับ อันนี้คือที่ผมเดา แต่สำหรับคุณ ถ้าจะเอาเวลามาสนใจที่ผมเดาตลาด  ขอให้เอาเวลาไปทำการบ้านเองดีกว่าครับ  แต่สิ่งที่ผมสนใจข่าวในวันนี้ไม่ใช้ นายกนะครับ แต่เป้น Bank of Japan ที่ซื้อสินทรัพย์ 2 เท่า และที่น่าสนใจกว่าคือ การยกเลิกนโยบายดอกเบี้ย ให้ไปเป็นตั้งเป้า จำนวนเงินฝากในระบบแทน ต้องเรียกว่า นโยบายดอกเบี้ยมีใช้มาตั้งแต่ยุคเศรษฐศาสตร์มหภาค คือการกำหนดดอกเบี้ยแลกเปลี่ยนระหว่างธนาคารกลางกับธนาคารพาณิชย์ ซึ่งถือเป็นต้นทุนการทำงานของธนาคารด้วย   ถ้าเราต้องการดูดเงินออกจากระบบเศรษฐกิจ ก็ใช้วิธีขึ้นดอกเบี้ยครับ ถ้าอยากอัดฉีดเงินเข้าระบ

เมื่อตลาดหุ้นร่วงเราควรทำอย่างไร

ณ ตอนนี้ผมก็ยังไม่มีโอกาสได้เห็น 1600 จุด แถมสองวันนี้หุ้นตกลงไปกว่า 50จุด สิ่งที่น่าสนใจคือหุ้นรอบนี้วิ่งมาตลอดเกือบ 5 เดือน แต่ตกมาแรงๆ 2 วัน ประมาณ 3% ผมกลับรู้สึกเหมือนการวิ่งมา 5 เดือน เป็นความหลังอันแสนยาวไกลเหลือกเกิน สิ่งที่ผมสังเกตุเห็นคือ ทุกคนอยู่ในอาการตกใจ ทำตัวไม่ถูกว่าจะถือ ขาย ซื้อ อย่างไร โดนส่วนตัวผมจะพิจาณาดังนี้ ก่อนอื่น อย่างเราที่ผมดูว่าเรามีเงินสดสำรองเท่าไร ผมมักจะดีใจเสมอเมื่อเงินสดอยู่ในมือแล้วหุ้นลง อย่างที่สอง อะไรควรต้องไปจากพอร์ตของเรา ผมไม่ปฎิเสธว่า การถือหุ้นที่ดีควรถือจนวันตาย แต่ถ้าในพอร์ตเรามีหุ้นที่แพงไป หรือหุ้นที่ไม่น่าจะเติบโตเหมาะสมกับราคา ก็ควรนำออกไปจากพอร์ตบ้าง อย่างที่สาม รอ แต่ระหว่างรอสิ่งที่สำคัญสุดคือ พยายามหาหุ้นที่ดี มีการเติบโต ราคาลดลง แต่ไม่น่ามีผลกระทบจากวิกฤตที่เป็นสาเหตุในครั้งนั้นๆ ระหว่างนี้อาจเป็นโอกาสที่ดีในการหาหุ้น ซื้อหุ้น ที่ระหว่างก่อนหน้าแพงจะไร้เหตุผล แต่ตลาดหุ้นร่วงลงมา อาจทำให้ราคาเหมาะสมขึ้นก็ไ้ดนะครับ อย่างสุดท้าย ถ้ามีเงินเหลือ ก็ขอให้ซื้อหุ้นที่ดี ในราคาที่ถูกลงครับ หลักการง่ายๆ ที่ใครๆก็ทำลำบาก แ

ปรับโครงสร้างรายจ่ายส่วนตัว

รูปภาพ
รายจ่ายเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องมีการใช้จ่ายยิ่งชีวิตในเมืองด้วยแล้ว เรียกว่าแทบจะมีรายจ่ายทุกวันไม่มีวันไหนที่เงินไม่ออกจากกระเป๋าเรา ถึงไม่เสียค่าใช้จ่ายทางตรงก็ต้องมีจ่ายทางอ้อม บางครั้งคนเราสนใจแต่การหารายได้ แต่ด้วยชีวิตคนทำงานรับเงินเดือนนั้น การจะเสริมรายได้เป็นข้อจำกัดระดับนึง เลยต้องมาสนใจการควบคุมรายจ่ายแทน โดยผมจะทำการแยกประเภทค่าใช้จ่ายที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวัน และช่วงปัจจุบันนี้ คุณพ่อผมต้องเข้ารักษาพยาบาลอย่างต่อเนื่อง แต่ละครั้งก็เกิน 30000 ขึ้นไป แต่ยังดีที่ ญาติช่วย แม่ยังมีกำลังรักษาอยู่ แต่ก็ส่งผลต่อชีวิตผมเยอะเหมือนกัน เพราะต้องจ่ายเงินช่วยคุณแม่อีกคนตามหน้าที่ของลูกที่ควรต้องทำ ดังนั้นผมจึงต้องมาทบทวนแผนรายจ่ายแต่เดือนผมใหม่อีกครั้ง เลยบันทึกเก็บไว้อ่านเพื่อทราบแนวความคิดในปัจจุบัน เพื่อได้เปรียบเทียบและปรับปรุงในอนาคตด้วย พื้นฐานชีวิตส่วนตัว ไม่มีรถ ยังไม่มีแฟน ภรรยา หรือ บุตร มีเงินเดือนประจำ มีค่าเวร ค่ารถบ้าง ไม่รวมรายได้จากการลงทุน ไม่ว่าส่วนต่างราคา และ เงินปันผล การแบ่งประเภทค่าใช้จ่ายของผม ค่าใช้จ่ายทางตรง ในชีวิตประจำวัน สำหร

การเพิ่มมูลค่าให้กับสินทรัพย์และตัวเอง

การเพิ่มมูลค่า Value added เป็นเรื่่องที่ผมได้ยินมากในวิชาเศรษฐศาสตร์ตอนปริญญาตรี ซึ่งเป็นหลักการสำคัญอย่างนั้น ที่จะสามารถทำให้เราขายสินค้าได้ง่ายขึ้น ได้เปรียบมากขึ้นต่อคู่แข่ง และผู้บริโภค การเพิ่มมูลค่านั้้นส่วนใหญ่จะไปลงที่ความคิดสร้างสรรค์มากกว่า ไม่ว่าจะเป็นเชิงออกแบบ ผลิตภัณฑ์ สินค้า การบรรจุหีบห่อ เพื่อให้สินค้าดูดีขึ้น สวยงามขึ้น น่าใช้ขึ้น แต่สิ่งที่่ออกแบบให้สามารถมีประโยชน์การใช้สอยให้มากขึ้น ถือว่าเป็นการเพิ่มมูลค่าได้มากกว่าการออกแบบเชิงความสวยงาม เป็นที่มาของคำว่า นวตกรรม นั้นเองครับ เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์นั้นมุ่งเน้นให้สร้างนวตกรรม เพื่อ เพิ่มมูลค่าสินค้า หรือ เพิ่มลูกค้ากลุ่มใหม่ นั้นเอง นวตกรรม นั้น มีได้ทั้งสินค้า บริการ ในยุคปี 2000 เป็นต้นมา มักใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้กัน เพื่อสร้างนวตกรรมใหม่ และ ลดต้นทุนลงได้ด้วย เช่น การจองตั๋วเครื่องบิน, ตุ๊กตาเฟอบี้, Smart Phone เป็นต้น นั้นคือสินค้าที่ทำการเพิ่มมูลค่าให้กับตัวเอง คือจัดสรร เทคโนโลยี การออกแบบ การสร้างนวตกรรม เป็นต้น คราวนี้ถ้ามาลองดูพวกอสังหาริมทรัพย์บ้าง สมัยก่อนมักนิยมลงทุนในที่ดิน มักจะซื้อที

รู้จักกับปิโตรเคมี

หลังจากผมหน้าแหก ไปหัดเก็งวัฎจักรกลุ่มปิโตรเคมีก็ได้เรื่องเรื่องทันที คือ พลาดทั้งขายหมู เกือบติดดอย หนีลงมาได้ก็ทำการขายหมูต่อ ทำให้ผมอยากศึกษาให้เข้าใจว่าอุตสาหกรรมประเภทนี้เป็นอย่างไร ในมุมมองของการลงทุนผมถือว่าอุตสหกรรมปิโตรเคมีนั้น เป็นวัฏจักรอย่างชัดเจน ไม่สั้น และ ไม่ยาวมาก ถ้าเข้าใจการทำธุรกิจของสาขานี้อาจให้ผลประโยชน์ต่อการขยายพอร์ตหุ้นได้ไม่มากก็น้อย ถือเข้าประเด็นความตั้งใจในการศึกษาหุ้นวัฎจักรอีกแบบ ปิโตรเคมี (Petrochemicals) นั้นเป็นสารเคมีที่ได้มาจากการกลั่นน้ำมันดิบและนำมาผ่านกระบวนการทางเคมีเพื่อให้ได้เป็นปิโตรเคมี โดยผลิตภัณฑ์ทางปิโตรเคมีนั้น แบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ - กลุ่มโอเลฟินส์ (Olefins) ซึ่งกลุ่มจะเป็นวัตถุดิบในการสร้างพลาสติกต่างๆ โดยผลิตภัฑณ์ส่วนใหญ่จะได้ Ethylene, Propylene, Butadiene - กลุ่มอะโรเมติกส์ (Aromatics) ซึ่งกลุ่มจะเป็นวัตถุดิบในการสร้าง สารเคมีอื่นๆ Benzene, Toluene, Xylenes ข้อมูลนำมาจาก http://en.wikipedia.org/wiki/Petrochemical โดยที่เห็น คำว่าปิโตรเคมีคือผลิตภัณฑ์ที่ได้มาจากผลพลอยได้ของการกลั่นน้ำมัน ซึ่งนำไปเป็นวัตถุดิบของสินค้า