4 ความจริงเรื่องเงินที่สวนทางความเชื่อ แต่จะเปลี่ยนชีวิตการเงินของคุณไปตลอดกาล
4 ความจริงเรื่องเงินที่สวนทางความเชื่อ แต่จะเปลี่ยนชีวิตการเงินของคุณไปตลอดกาล
บทนำ: สู่เส้นทางความมั่งคั่งที่เรียบง่ายกว่าที่เคย
โลกของการเงินเต็มไปด้วยคำแนะนำที่มากมายและมักจะขัดแย้งกันเอง จนทำให้หลายคนรู้สึกท่วมท้นและไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหนดี แต่จะดีแค่ไหนถ้ามีระบบที่ชัดเจนและเรียบง่ายมาช่วยจัดลำดับความสำคัญทางการเงินให้กับคุณ?
แนวคิด "Financial Order of Operations" หรือ "ลำดับการดำเนินการทางการเงิน" จากรายการ "The Money Guy Show" คือคำตอบนั้นเอง มันคือระบบ 9 ขั้นตอนที่ไม่ได้มีแค่คณิตศาสตร์เย็นชา แต่ตั้งอยู่บนปรัชญาที่เข้าอกเข้าใจมนุษย์ เพื่อตอบคำถามสำคัญว่า "เราควรทำอะไรกับเงินบาทต่อไปของเรา?"
บทความนี้จะกลั่นกรองเอา 4 แนวคิดที่น่าประหลาดใจและทรงพลังที่สุดจากระบบนี้ ซึ่งท้าทายความเชื่อทางการเงินแบบเดิมๆ และอาจเปลี่ยนมุมมองการสร้างความมั่งคั่งของคุณไปเลยก็ได้
1. รับเงินฟรีจากนายจ้างก่อน แม้จะมีหนี้บัตรเครดิตก็ตาม
ในขั้นตอนที่ 2 ของลำดับการดำเนินการทางการเงินระบุไว้อย่างชัดเจนว่า คุณควรใส่เงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund/401k) ให้เต็มสิทธิ์ที่นายจ้างจะสมทบให้ (Employer Match)
นี่คือสิ่งที่น่าประหลาดใจ เพราะระบบนี้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ก่อน การเร่งชำระหนี้ดอกเบี้ยสูง (ขั้นตอนที่ 3) อย่างหนี้บัตรเครดิตเสียอีก
เหตุผลนั้นเรียบง่ายและทรงพลังมาก นั่นคือผลตอบแทนที่การันตีจากการสมทบของนายจ้าง ซึ่งมักจะอยู่ที่ 50% ถึง 100% มันคือ "เงินฟรี" ที่คุณจะได้รับทันที การปฏิเสธผลตอบแทน 100% เพื่อไปจ่ายดอกเบี้ยบัตรเครดิต 20% ถือเป็นการตัดสินใจที่หายนะในทางคณิตศาสตร์อย่างแท้จริง
"ผลตอบแทนโดยนัยที่ 50% หรือ 100% นั้นดีกว่าอัตราดอกเบี้ยมหาโหดที่บริษัทบัตรเครดิตเรียกเก็บจากคุณเสียอีก และนั่นคือเหตุผลที่เราจัดให้มันอยู่ในลำดับต้นๆ ของการดำเนินการทางการเงิน"
น่าเสียดายที่ข้อมูลจากสหรัฐอเมริกาชี้ว่า 1 ใน 4 ของพนักงานยังไม่ได้รับเงินสมทบจากนายจ้างเต็มจำนวน ซึ่งเท่ากับว่าพวกเขากำลังทิ้งเงินฟรีๆ ไปอย่างน่าเสียดาย
2. ใส่หน้ากากออกซิเจนให้ตัวเองก่อน อนาคตเกษียณของคุณต้องมาก่อนค่าเทอมลูก
หนึ่งในปัญหาที่พ่อแม่หลายคนต้องเผชิญคือ จะเลือกระหว่างการออมเพื่อเกษียณของตัวเอง กับการเก็บเงินเพื่อการศึกษาของลูกอย่างไรดี?
คำตอบจากระบบนี้อาจสวนทางกับความรู้สึกของใครหลายคน เพราะการออมเพื่อการศึกษาของลูกถูกจัดอยู่ในขั้นตอนที่ 8 "การจ่ายล่วงหน้าสำหรับค่าใช้จ่ายในอนาคต" ซึ่งเป็นเป้าหมายในระยะที่ชีวิตเริ่มมีความอุดมสมบูรณ์แล้ว ผ่านบัญชีเฉพาะทางอย่าง 529 หรือ Custodial Roth
นั่นหมายความว่า การเก็บเงินให้ลูกมาทีหลังการสร้างความมั่นคงเพื่อการเกษียณของตัวคุณเอง ไม่ว่าจะเป็นการรับเงินสมทบจากนายจ้าง (ขั้นตอนที่ 2) การออมในบัญชีเพื่อการเกษียณที่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่าง Roth IRA (บัญชีออมเพื่อเกษียณประเภทหนึ่งในสหรัฐฯ ที่เงินเติบโตโดยไม่ต้องเสียภาษี) และ HSA (บัญชีออมทรัพย์เพื่อสุขภาพ) (ขั้นตอนที่ 5) หรือการออมในแผนการเกษียณของนายจ้างให้เต็มเพดาน (ขั้นตอนที่ 6)
หลักการนี้เปรียบได้กับการ "ใส่หน้ากากออกซิเจนให้ตัวเองก่อนบนเครื่องบิน" เหตุผลสำคัญคือ คุณสามารถกู้ยืมเพื่อการศึกษาได้ แต่คุณไม่สามารถกู้ยืมเพื่อการเกษียณได้ การที่คุณสร้างความมั่นคงให้ตัวเองก่อน คือการตอบสนองต่อ "เป้าหมายที่แท้จริง" (Your Why) ของการเงิน และเป็นการรับประกันว่าคุณจะไม่กลายเป็นภาระทางการเงินของลูกๆ ในอนาคต
3. หนี้บ้านคือสิ่งสุดท้ายที่ควรจัดการ ไม่ใช่สิ่งแรก
ระบบนี้แบ่งหนี้ออกเป็นสองประเภทอย่างชัดเจน: หนี้ดอกเบี้ยสูง (เช่น บัตรเครดิต) ถือเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินที่ "อันตรายเหมือนเลื่อยไฟฟ้า" ซึ่งต้องกำจัดให้เร็วที่สุดในขั้นตอนที่ 3 ในทางกลับกัน หนี้ดอกเบี้ยต่ำ (เช่น สินเชื่อบ้าน) กลับเป็นรายการสุดท้ายที่จะต้องพิจารณาในขั้นตอนที่ 9
ตรรกะเบื้องหลังคือ ในช่วงแรกของการ "สร้างความมั่งคั่ง" (make wealth) เป้าหมายคือการนำเงินไปทำงานในที่ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด การเร่งโปะหนี้บ้านที่มีดอกเบี้ยต่ำเท่ากับคุณกำลังสูญเสียโอกาสที่จะนำเงินก้อนนั้นไปลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่ามากในตลาดทุน
ที่สำคัญ การเร่งชำระหนี้ดอกเบี้ยต่ำเป็นเพียง ทางเลือก สำหรับช่วง "รักษความมั่งคั่ง" (maintain wealth) ซึ่งเป็นช่วงที่เป้าหมายเปลี่ยนไปสู่การลดความเสี่ยงและสร้างความสบายใจ ไม่ใช่ข้อบังคับ
"การมีความสามารถที่จะปลดหนี้ได้ ก็ดีพอๆ กับการปลอดหนี้จริงๆ"
4. อย่ามัวแต่ประหยัดจนลืมใช้ชีวิต จง "แต่งเติมชีวิตพื้นฐาน" ของคุณไปด้วย
แนวคิดที่ทรงพลังที่สุดอาจไม่ใช่ขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่ง แต่เป็น "กฎพื้นฐาน" (Ground Rules) ที่เป็นรากฐานของระบบทั้งหมด ซึ่งมีอยู่ 3 ข้อด้วยกัน คือ 1) รู้เป้าหมายของตัวเอง (Know your why) ว่าเงินเป็นเพียงเครื่องมือไปสู่ความสุข 2) มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ (Be generous) ไม่ว่าจะมีเงินมากหรือน้อย และ 3) แต่งเติมชีวิตพื้นฐานของคุณ (Bedazzle your basic life)
กฎข้อสุดท้ายนี้ท้าทายความคิดแบบสุดโต่งที่ว่าต้องประหยัดทุกบาททุกสตางค์ "การแต่งเติมชีวิตพื้นฐาน" หมายถึง การใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและสร้างความทรงจำที่ดีในทุกทศวรรษของชีวิต (ช่วงอายุ 20, 30, 40) โดยไม่สร้างหนี้สินเพิ่ม แนวคิดนี้ตรงกันข้ามกับการใช้ชีวิตแบบตระหนี่ถี่เหนียวสุดขั้ว ซึ่งเสี่ยงต่อการที่คุณต้องเสียสละช่วงเวลาที่ดีที่สุดของชีวิตไปเพียงเพื่อจะ "ตื่นขึ้นมาแล้วคิดว่า 'โอเค ตอนนี้ฉันจะใช้ชีวิตที่ดีที่สุดในวัย 50'"
แนวทางที่มีมนุษยธรรมเช่นนี้จะช่วยให้เส้นทางการสร้างความมั่งคั่งของคุณยั่งยืนและป้องกันไม่ให้คุณหมดไฟไปเสียก่อน
บทสรุป: ลำดับที่ชาญฉลาดกว่า เพื่ออนาคตที่ดีกว่า
การสร้างความมั่งคั่งนั้นเรียบง่าย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะง่ายเสมอไป การทำตามลำดับการดำเนินการที่ถูกต้องคือหัวใจสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ
บทเรียนสำคัญที่สุดคือ กลยุทธ์ทางการเงินที่มีประสิทธิภาพที่สุดบางครั้งก็เป็นสิ่งที่ท้าทายความเชื่อที่เรายึดถือกันมานาน
หลังจากได้เห็นแนวทางนี้แล้ว "กฎการเงิน" ข้อไหนที่คุณจะเริ่มทบทวนเป็นอันดับแรก?
ต้นทาง: https://youtu.be/QUfoVQiBKIA?si=HsVCxsbpiFa6q81D
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น