5 ความจริงเรื่องเงินที่สวนกระแส ที่จะเปลี่ยนวิธีคิดของคุณไปตลอดกาล จาก มอร์แกน เฮาเซล
เราต่างหมกมุ่นกับการหาเงิน เก็บออม และลงทุน เราอ่านหนังสือหลายสิบเล่ม ฟังพอดแคสต์นับไม่ถ้วน เพื่อค้นหาสูตรสำเร็จในการสร้างความมั่งคั่ง แต่กลับมีเรื่องหนึ่งที่เราแทบไม่เคยพูดถึงเลย นั่นคือ "ศิลปะแห่งการใช้เงิน" ซึ่งอาจเป็นกุญแจที่สำคัญที่สุด
มอร์แกน เฮาเซล (Morgan Housel) กูรูด้านการเงินระดับตำนาน ผู้เขียนหนังสือขายดีอย่าง The Psychology of Money เชื่อว่าความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการเงินนี่เองที่เป็นหลุมพรางที่ใหญ่ที่สุดของเรา เขาเสนอว่าเงินเปรียบเสมือน "หน้าต่างที่ใสที่สุด ที่เราสามารถมองผ่านเข้าไปเพื่อทำความเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราได้" การใช้จ่ายของเราจึงไม่ใช่แค่ธุรกรรม แต่เป็นการสะท้อนความกลัว ความฝัน และความไม่มั่นคงในใจของเรา
บทความนี้จะกลั่น 5 แนวคิดที่ทรงพลังและสวนกระแสที่สุดจาก มอร์แกน เฮาเซล ที่จะท้าทายทุกสิ่งที่คุณเคยเชื่อเกี่ยวกับการใช้เงิน และพาคุณเดินทางสู่การค้นพบตัวเองผ่านเลนส์ทางการเงิน
1. รายได้แบบอยู่เฉยๆ (Passive Income) เป็นเรื่องหลอกลวง
ในยุคที่ทุกคนใฝ่ฝันถึงการมี "Passive Income" เฮาเซลกลับฟันธงอย่างตรงไปตรงมาว่า "มันไม่มีอยู่จริง" เขาชี้ว่าความคิดที่ว่าจะได้เงินมาโดยไม่ต้องทำอะไรเลยเป็นเพียงภาพลวงตาที่ทำให้เราไขว้เขวจากความจริง เขาให้ตัวอย่างที่เห็นภาพชัดเจนว่า "หลายคนพูดถึง Passive Income ว่าจะไปซื้ออสังหาฯ ให้เช่า... ถ้าคุณคิดว่าการเป็นเจ้าของบ้านเช่าคือ Passive Income แสดงว่าคุณไม่เคยเป็นเจ้าของมันมาก่อน เพราะมันไม่มีอะไรที่ 'อยู่เฉยๆ' เลย" มันคือการรับมือกับส้วมตัน หลังคารั่ว และผู้เช่าที่ไม่จ่ายเงินตรงเวลา
เฮาเซลเสนอว่าสมการความมั่งคั่งที่แท้จริงมีเพียงสองทางเลือกเท่านั้น:
"มีสองวิธีที่จะทำให้คุณมั่งคั่งขึ้น: คุณต้องเสียสละมากขึ้น หรือไม่ก็ต้องการน้อยลง มีแค่นั้นจริงๆ"
แนวคิดนี้เป็นการเปลี่ยนกระดานความคิดครั้งสำคัญ มันดึงเราออกจากความฝันลมๆ แล้งๆ ที่จะกด "ปุ่มวิเศษ" แล้วรวยทันที แล้วหันกลับมาสู่ความเป็นจริงที่จับต้องได้ว่า ความมั่งคั่งคือผลลัพธ์ของการตัดสินใจเลือกระหว่าง "การเสียสละ" และ "การลดความต้องการ" เท่านั้น
2. สมการความมั่งคั่งที่แท้จริง: สิ่งที่คุณมี ลบด้วย สิ่งที่คุณต้องการ
หลักการที่สำคัญที่สุดของเฮาเซลคือ ความมั่งคั่งไม่ใช่ตัวเลขในบัญชี แต่มันคือ "ความรู้สึก" ที่เกิดจากช่องว่างระหว่างสิ่งที่คุณมีกับสิ่งที่คุณต้องการ
เขาเล่าเรื่องของคุณยายภรรยาของเขา ผู้ซึ่งใช้ชีวิตอย่างมีความสุขด้วยเงินประกันสังคมเพียงเดือนละ 1,700-1,800 ดอลลาร์ หลายคนอาจมองว่านั่นคือความยากจน แต่สำหรับท่านแล้ว ท่านมีความสุขอย่างสมบูรณ์ เพราะท่าน "ไม่ต้องการอะไรไปมากกว่านั้น" เรื่องราวนี้ชี้ให้เห็นว่าเศรษฐีพันล้านที่ต้องการเงินเพิ่มเป็นสองพันล้าน อาจรู้สึก "จน" กว่าคุณยายที่พึงพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี
ดังนั้น ปัญหาของความมั่งคั่งจึงไม่ใช่การสะสมทรัพย์สินให้ได้มากที่สุด แต่คือการบริหารจัดการ "ความอยาก" ของตัวเราเอง ซึ่งเป็นรากฐานของทุกการตัดสินใจทางการเงิน
3. ความจริงที่แสนปลดปล่อย: ไม่มีใครสนใจคุณขนาดนั้นหรอก
การใช้จ่ายของเราส่วนใหญ่มักถูกขับเคลื่อนด้วยความต้องการส่งสัญญาณบอกสถานะทางสังคมให้คนอื่นรับรู้ เราซื้อรถหรู นาฬิกาแพงๆ หรือบ้านหลังใหญ่โต โดยหวังว่าคนอื่นจะหันมามองและชื่นชม แต่เฮาเซลบอกว่าความพยายามนี้ส่วนใหญ่แล้วสูญเปล่า
มมี่ คาร์ (Jimmy Carr) นักแสดงตลกชื่อดังเคยกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้อย่างคมคาย:
"ตอนอายุ 20 คุณจะกังวลว่าคนอื่นคิดกับคุณอย่างไร พออายุ 30 คุณจะบอกว่า ฉันไม่แคร์ว่าใครจะคิดยังไง และเมื่อถึงอายุ 40 คุณจะตระหนักถึงความจริงที่ว่า... ที่ผ่านมาไม่มีใครเขาคิดถึงคุณเลย พวกเขามัวแต่กังวลเรื่องของตัวเองอยู่"
แล้วเราจะทำอย่างไรกับความจริงข้อนี้? การตระหนักรู้คือการปลดปล่อยตัวเองออกจาก "สงครามการแข่งขัน" ทางวัตถุ คุณสามารถเปลี่ยนเกมได้ทันที จากการใช้เงินเพื่อ "สถานะ" ไปสู่การใช้เงินเพื่อ "ประโยชน์ใช้สอย" ที่แท้จริง ลองถามตัวเองด้วยแบบฝึกหัดทางความคิดง่ายๆ: ถ้าคุณอยู่บนเกาะร้างที่ไม่มีใครมองเห็น คุณจะยังอยากได้รถสปอร์ตหรือบ้านหลังใหญ่อยู่ไหม? คำตอบจะเผยให้เห็นว่าคุณกำลังใช้เงินเพื่อทำให้คนอื่นประทับใจ หรือเพื่อทำให้ชีวิตตัวเองดีขึ้นจริงๆ
แรงขับเคลื่อนที่ผลักดันให้เราแข่งขันเพื่อสถานะนี้ไม่ได้เป็นแค่เรื่องทางสังคม แต่มันหยั่งรากลึกถึงเคมีในสมองของเรา ซึ่งนำเราไปสู่ประเด็นถัดไปเกี่ยวกับธรรมชาติที่แท้จริงของความสุข
4. สูตรสำเร็จของ "ชีวิตที่ดี" ไม่ใช่แค่ "ชีวิตที่รวย"
สำหรับเฮาเซลแล้ว เป้าหมายสูงสุดของเงินไม่ใช่การซื้อความสุขสบาย แต่คือการซื้อสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้ นั่นคือ อิสรภาพ + เป้าหมาย (Independence + Purpose)
การใช้เงินที่ดีที่สุดคือการนำไปซื้อ "อิสรภาพ" หรือความสามารถในการควบคุมเวลาและทางเลือกของตัวเอง ดังนั้น การออมเงินจึงไม่ใช่แค่การเก็บเงิน แต่เป็นการกระทำเพื่อ "ซื้อ" อนาคต เฮาเซลกล่าวว่า "ผมไม่ได้มองว่ามันคือการออมเงิน แต่มองว่ามันคือการซื้ออิสรภาพ" ทุกบาททุกสตางค์ที่คุณเก็บออม คือชิ้นส่วนของอนาคตที่คุณได้เป็นเจ้าของและสามารถควบคุมได้
ในทางกลับกัน เขาก็ได้ให้ภาพที่ทรงพลังไม่แพ้กันว่า: "ทุกดอลลาร์ของหนี้ที่คุณมี คือชิ้นส่วนของอนาคตของคุณที่คนอื่นเป็นผู้ควบคุม" นี่คือทางเลือกที่ชัดเจน การตัดสินใจทางการเงินทุกครั้งคือการเลือกระหว่างการเป็นเจ้าของเวลาของตัวเอง หรือการยกมันให้คนอื่น
5. เลิกไล่ล่า "ความสุข" แล้วมุ่งหา "ความพึงพอใจ" แทน
เฮาเซลชี้ให้เห็นความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง "ความสุข" (Happiness) และ "ความพึงพอใจ" (Contentment) ความสุขมักเป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นชั่ววูบ เหมือนการหัวเราะที่ดังขึ้นแล้วก็จางหายไปใน 30 วินาที
แต่สิ่งที่เราทุกคนปรารถนาอย่างแท้จริงเมื่อฝันถึงความร่ำรวยคือ "ความพึงพอใจ" ซึ่งเป็นความรู้สึกที่มั่นคงและยั่งยืน เป็นความรู้สึกที่ว่า "ฉันสบายดี ฉันไม่ต้องการอะไรไปมากกว่านี้แล้ว"
ปรากฏการณ์นี้มีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ "โดพามีนคือสารเคมีแห่งความต้องการ... มันคือการอยากได้อีก อยากได้อีก" เรามักเข้าใจผิดว่าโดพามีนคือสารแห่งความสุข แต่จริงๆ แล้วมันคือกลไกที่ผลักดันให้เราไล่ล่าสิ่งต่อไปไม่รู้จบ นี่คือสาเหตุของ "Arrival Fallacy" หรือความเชื่อผิดๆ ที่ว่าเมื่อเราไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ (บ้านหลังใหญ่ขึ้น, รายได้สูงขึ้น) เราจะพบกับความสุขที่ถาวร แต่ในความเป็นจริง เมื่อเราไปถึงจุดนั้น ความปรารถนาของเราก็จะขยับไปสู่เป้าหมายที่สูงขึ้นไปอีกไม่มีที่สิ้นสุด เพราะโดพามีนในสมองสั่งให้เรา "อยากได้อีก"
บทสรุป: คำถามสุดท้ายที่น่าขบคิด
แก่นแท้ของปรัชญาการเงินของมอร์แกน เฮาเซล ไม่ได้อยู่ที่ตัวเลข แต่อยู่ที่จิตวิทยา ความสัมพันธ์ของเรากับเงินคือเกมที่เล่นกันในหัว ไม่ใช่เกมที่เล่นบนกระดานสเปรดชีต สมองของเราถูกตั้งโปรแกรมด้วยโดพามีนให้ไล่ล่าไม่สิ้นสุด (ข้อ 5) ซึ่งผลักดันให้เราเข้าสู่สงครามสถานะที่ไม่มีใครชนะ (ข้อ 3) และทำให้เรารู้สึก "จน" แม้จะมีเงินมากมาย เพราะช่องว่างของความต้องการไม่เคยถูกเติมเต็ม (ข้อ 2) ทางออกจากวงจรนี้คือการปฏิเสธมายาคติอย่าง Passive Income (ข้อ 1) แล้วหันมาใช้เงินเพื่อซื้อสิ่งที่มีค่าที่สุดอย่างแท้จริง นั่นคือ "อิสรภาพ" ในการควบคุมชีวิตของตัวเอง (ข้อ 4)
สุดท้ายนี้ ขอทิ้งท้ายด้วยคำถามที่ทรงพลังจากเฮาเซลให้คุณได้กลับไปขบคิดกับตัวเอง:
ถ้าไม่มีใครคอยจับตาดูคุณอยู่เลย... คุณจะใช้ชีวิตแตกต่างไปจากเดิมอย่างไร?
https://youtu.be/UURXxNu3iA8
สรุปจาก https://youtu.be/jFlnRBO8mcg?list=TLGGAGyxLs_SXpkwOTEwMjAyNQ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น