5 แนวคิดการลงทุนสวนกระแส โดย Howard Marks, นักลงทุนระดับตำนานแห่ง Oaktree Capital
ในโลกที่เต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสารการลงทุนที่ท่วมท้น ตั้งแต่บทวิเคราะห์ที่ซับซ้อนไปจนถึงคำแนะนำที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกันเอง เป็นเรื่องง่ายที่นักลงทุนอย่างเราจะรู้สึกสับสนและหลงทาง เราต่างพยายามมองหา "สูตรสำเร็จ" ในการทำนายอนาคตของตลาด โดยเชื่อว่านั่นคือกุญแจสู่ความสำเร็จ
ท่ามกลางเสียงรบกวนเหล่านี้ มีเสียงหนึ่งที่เปี่ยมไปด้วยเหตุผล ความถ่อมตน และภูมิปัญญาที่ตกผลึกมานานกว่าครึ่งศตวรรษ นั่นคือเสียงของ Howard Marks นักลงทุนระดับตำนานและประธานร่วมของ Oaktree Capital Management เขาไม่ใช่คนที่พยายามจะทำนายตลาด แต่เป็นปรมาจารย์ด้านการทำความเข้าใจความเสี่ยงและจิตวิทยาของมนุษย์ที่ขับเคลื่อนมัน
บทความนี้จะกลั่นกรอง 5 ข้อคิดการลงทุนที่สวนกระแสและทรงพลังที่สุดจาก Howard Marks แนวคิดเหล่านี้อาจขัดแย้งกับสิ่งที่คุณเคยได้ยินมา แต่มันจะช่วยให้คุณมองการลงทุนในมุมใหม่ที่ลึกซึ้งและรอบคอบยิ่งขึ้น พร้อมมอบเครื่องมือทางความคิดเพื่อนำทางคุณในตลาดที่ไม่เคยหยุดนิ่ง
1. หยุดพยากรณ์อนาคต แต่จงเตรียมพร้อมสำหรับความไม่แน่นอน
แนวคิดพื้นฐานที่สุดของ Howard Marks คือการยอมรับความจริงอันเรียบง่ายที่ว่า: เราไม่สามารถล่วงรู้อนาคตได้ ในขณะที่โลกการเงินเต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญที่พยายามคาดการณ์ทิศทางเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ย หรือตลาดหุ้น Marks ยืนยันว่าการลงทุนที่แท้จริงคือการวางตำแหน่งเงินทุนเพื่อรับประโยชน์จากเหตุการณ์ในอนาคต ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถรู้ได้อย่างแน่ชัด
อย่างไรก็ตาม การยอมรับใน "ความไม่รู้" นี้ไม่ได้หมายถึงการยอมจำนน แต่คือการเลือกสนามรบที่ถูกต้อง Marks ชี้ให้เห็นความแตกต่างที่สำคัญระหว่างภาพใหญ่ (Macro) และภาพย่อย (Micro) โดยภาพใหญ่อย่างทิศทางเศรษฐกิจโลกหรืออัตราดอกเบี้ยนั้น "ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าใคร" แต่ในภาพย่อย ซึ่งได้แก่บริษัท, อุตสาหกรรม และหลักทรัพย์แต่ละตัว คือสิ่งที่ "คุณสามารถสร้างความได้เปรียบผ่านการทำงานหนักและทักษะ" ดังนั้น แทนที่จะเสียพลังงานไปกับการคาดเดาภาพใหญ่ที่คาดเดาไม่ได้ นักลงทุนที่ชาญฉลาดจะมุ่งเน้นไปที่การวิเคราะห์เชิงลึกในสิ่งที่ตนสามารถเข้าใจได้ดีกว่าคนอื่น
การยอมรับในความไม่แน่นอนนี้นำไปสู่การลงทุนที่ระมัดระวังมากขึ้น คุณจะไม่ทุ่มเงินทั้งหมดไปกับการเดิมพันผลลัพธ์เพียงอย่างเดียว แต่จะกระจายความเสี่ยง (Diversify) และเตรียมพอร์ตการลงทุนให้พร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่หลากหลาย การคิดเช่นนี้สวนกระแสความเชื่อที่ว่านักลงทุนที่ประสบความสำเร็จจะต้องเป็นผู้พยากรณ์ตลาดได้อย่างแม่นยำ แต่ Marks ชี้ให้เห็นว่าความมั่นใจที่มากเกินไปต่างหากคือหนทางสู่หายนะ
"It ain't what you don't know that gets you into trouble. It's what you know for certain that just ain't true." — Mark Twain
ศัตรูตัวฉกาจที่สุดของนักลงทุนอาจไม่ใช่ตลาดที่ผันผวน แต่คืออารมณ์ของตัวเราเอง Howard Marks อธิบายพฤติกรรมนี้ว่า 'procyclical' ซึ่งเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่มักจะรู้สึกดีและอยากซื้อเมื่อราคาสูงขึ้น (เพราะความโลภและความกลัวตกรถ) และรู้สึกตื่นตระหนกจนต้องรีบขายเมื่อราคาดิ่งลง (เพราะความกลัว) ซึ่งเป็นการ "ซื้อแพง ขายถูก" อย่างแท้จริง
เขาเปรียบเทียบอารมณ์ของตลาดเสมือน "ลูกตุ้ม" ที่แกว่งไปมาระหว่างจุดสุดโต่งสองขั้ว คือความรู้สึกว่าทุกอย่าง "ไร้ที่ติ" (flawless) กับความรู้สึกว่าทุกอย่าง "สิ้นหวัง" (hopeless) นักลงทุนที่ชาญฉลาดจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกเหวี่ยงไปตามแรงของลูกตุ้มนี้ เป้าหมายสูงสุดคือการทำสิ่งที่ตรงกันข้าม (counter-cyclical) แต่สำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่แล้ว Marks ได้ให้คำแนะนำที่นำไปใช้ได้จริงว่า "อย่างน้อยที่สุด คุณต้องไม่ใช้อารมณ์และไม่ยอมจำนนต่อวัฏจักร ดังนั้น แทนที่จะซื้อตอนราคาสูงและขายตอนราคาต่ำ บางทีคุณอาจจะแค่บอกว่า 'ฉันจะถือมันไปตลอด'" การยืนหยัดให้มั่นคงและไม่ปล่อยให้อารมณ์ครอบงำ ก็ถือเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่แล้ว
"What we want to do is buy low and sell High human nature causes us to buy high and sell low at minimum we want to avoid it and at maximum we want to do the opposite."
3. การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ (Sea Change): 'ทางเลื่อน' ที่เคยพาคุณไปข้างหน้าได้หยุดลงแล้ว
ในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 13 ปีหลังวิกฤตการเงินโลกปี 2008 นักลงทุนส่วนใหญ่คุ้นเคยกับสภาวะแวดล้อมที่เอื้ออำนวยอย่างยิ่ง นั่นคือยุคของอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำเป็นประวัติการณ์ Howard Marks เรียกการสิ้นสุดของยุคนี้ว่า "Sea Change" หรือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ส่งผลกระทบในระยะยาว
เขาใช้อุปลักษณ์ "ทางเลื่อน (moving walkway)" ในสนามบินเพื่ออธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น นักลงทุนในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเหมือนกับคนที่กำลังเดินอยู่บนทางเลื่อนที่เคลื่อนไปข้างหน้า แม้จะเดินด้วยความเร็วปกติ แต่ก็ไปถึงจุดหมายได้เร็วกว่าความเป็นจริง อัตราดอกเบี้ยขาลงที่ต่อเนื่องได้มอบ "แรงส่งฟรี" ให้กับนักลงทุนผ่านสองกลไกที่ทรงพลัง: 1) มันทำให้มูลค่าของสินทรัพย์ที่ถืออยู่สูงขึ้นโดยตรง และ 2) มันทำให้ต้นทุนในการกู้ยืมเงินเพื่อมาซื้อสินทรัพย์เหล่านั้นลดลงเรื่อยๆ แต่ตอนนี้ "ทางเลื่อนนั้นได้หยุดลงแล้ว" สภาพแวดล้อมในอนาคตจะกลับสู่ภาวะ "ปกติ" ซึ่งจะท้าทายมากขึ้น และกลยุทธ์ที่เคยได้ผลดีในยุคดอกเบี้ยต่ำอาจใช้ไม่ได้อีกต่อไป
"I believe that the 13 years I'm talking about were unnatural and too easy and in the coming years uh it's going to be normal which is a change."
ในโลกการลงทุน การคิดแบบผิวเผินคือกับดักสู่ความล้มเหลว Marks ได้นำเสนอแนวคิดเรื่อง "การคิดชั้นที่สอง" (Second-Level Thinking) ซึ่งเป็นสิ่งที่แยกนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จออกจากคนทั่วไป การคิดชั้นแรกนั้นเรียบง่ายและเป็นสิ่งที่ทุกคนคิดเหมือนกัน เช่น "นี่คือบริษัทที่ยอดเยี่ยม ดังนั้นควรซื้อหุ้น"
Marks ยกตัวอย่างหุ้นกลุ่ม "Nifty Fifty" ในอดีต ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทชั้นนำที่ใครๆ ก็เชื่อว่าจะเติบโตตลอดไป นักคิดชั้นแรกจึงแห่กันเข้าไปซื้อโดยไม่สนใจราคา ผลลัพธ์คือแม้บริษัทจะดีจริง แต่ราคาหุ้นที่สูงเกินไปก็นำไปสู่การขาดทุนมหาศาลในเวลาต่อมา หรือกรณีของ Xerox ที่เคยผูกขาดตลาดเครื่องถ่ายเอกสาร นักคิดชั้นแรกเห็นเพียงความยิ่งใหญ่ในปัจจุบัน แต่นักคิดชั้นที่สองจะตั้งคำถามที่ลึกซึ้งกว่า: "ทุกคนรู้ว่านี่คือบริษัทที่ยอดเยี่ยม แต่กำไรมหาศาลนี้จะดึงดูดคู่แข่งเข้ามาหรือไม่? และราคาหุ้นในปัจจุบันได้สะท้อนความคาดหวังที่สูงเกินจริงไปหรือยัง?" การฝึกฝนการคิดในระดับที่ซับซ้อนและแตกต่างจากคนส่วนใหญ่นี่เองคือกุญแจสำคัญ
"The first level thinker says it's a great company you should buy the stock. It's simplistic everybody understands that probably wrong. The second level thinker says it's a great company but it's not as great as everybody thinks so as a result it's overpriced you should sell the stock."
นักลงทุนจำนวนมากหมกมุ่นอยู่กับการพยายามจับจังหวะตลาด (Market Timing) แต่ Howard Marks ยืนยันว่านี่เป็นเกมที่ยากมากและคนส่วนใหญ่ไม่ควรพยายามเล่น อย่างไรก็ตาม มุมมองของเขาไม่ได้เรียบง่ายแค่ "อย่าจับจังหวะตลาด" เขาเล่าเกร็ดที่น่าสนใจว่าลูกชายของเขาเคยชี้ให้เห็นว่า ตลอดอาชีพการลงทุนกว่า 50 ปีของเขา Marks ทำการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ครั้งใหญ่เพียงแค่ 5 ครั้งเท่านั้น และมันเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ "ตลาดอยู่ในจุดสุดโต่ง" ซึ่ง "ความผิดพลาดนั้นชัดเจน" คำแนะนำของเขาจึงมีนัยที่ลึกซึ้งกว่า: สำหรับนักลงทุนทั่วไปในสภาวะตลาดปกติ การพยายามเข้าๆ ออกๆ ตลาดเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ แต่สำหรับมืออาชีพที่ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน การปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่จะถูกสงวนไว้สำหรับช่วงเวลาที่ตลาดเกิดภาวะฟองสบู่หรือตกต่ำอย่างรุนแรงจริงๆ เท่านั้น
สำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่แล้ว ปัจจัยที่ทรงพลังที่สุดไม่ใช่การจับจังหวะ แต่คือ "เวลา" Marks เน้นย้ำถึงพลังของการทบต้นในระยะยาว โดยอ้างอิงข้อมูลที่น่าทึ่งว่า ดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ย 10.5% ต่อปีนับตั้งแต่ปี 1920 และที่น่าทึ่งยิ่งกว่าคือผลตอบแทนนี้เกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤตการณ์นับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression), ภาวะถดถอย 17 ครั้ง, สงครามหลายครั้งรวมถึงสงครามโลก และล่าสุดคือการระบาดใหญ่ทั่วโลก การลงทุนอย่างสม่ำเสมอและปล่อยให้เวลาทำงานของมัน คือกลยุทธ์ที่เรียบง่ายแต่ให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจกว่าการพยายามคาดเดาตลาดในระยะสั้น
"It's time not timing that produces success just just put your money in and let time pass."
บทสรุป: ข้อคิดสุดท้ายสำหรับนักลงทุน
ภูมิปัญญาของ Howard Marks สอนให้เรากลับสู่พื้นฐานของการลงทุนที่แท้จริง นั่นคือความถ่อมตนในการยอมรับว่าเราไม่รู้อนาคต, การมีวินัยในการควบคุมอารมณ์ของตนเอง, การตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อม, การคิดให้ลึกซึ้งกว่าคนอื่น และการเชื่อมั่นในพลังของเวลามากกว่าการจับจังหวะ
แนวคิดเหล่านี้อาจไม่ใช่หนทางรวยเร็ว แต่มันคือรากฐานที่มั่นคงสำหรับการสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนในโลกที่ไม่แน่นอน ลองถามตัวเองดูสักครั้ง: "เมื่อคุณมองพอร์ตการลงทุนของคุณในวันนี้ คุณกำลังเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตที่ไม่แน่นอน หรือกำลังเดิมพันกับการคาดการณ์ที่อาจไม่เป็นจริง?" คำตอบของคุณอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงมุมมองการลงทุนของคุณไปตลอดกาล
https://youtu.be/NfWkKW1RsiA
ต้นฉบับ https://youtu.be/Cvq7ejDzNiY?list=TLGGxiYgUw5stuowMzEwMjAyNQ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น