การลงทุนกับเทคโนโลยีที่ผ่านมา
จุดสูงสุดของดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยคือ 1789.16 เมื่อปี 2537 หรือ ปี 1994 นั้นเอง
ด้วยระยะเวลาที่ผ่านมาถึง 19 ปี ณ ปัจจุบัน ก็มาอยู่แถวๆ 1600 ได้แล้ว
ซึ่งส่วนตัวผมว่า ดัชนีตลาดน่าจะสามารถผ่านจุดสูงสุดเก่าได้แน่นอน
ส่วนตัวผมอยู่เข้าๆออกๆ
ในตลาดมาร่วม 13 ปี ไม่ทันรอบ 1789.16 รอบที่แล้ว แต่หวังว่าจะทันเห็นรอบนี้
ก็ทำให้คิดถึงสมัยนั้น ในสมัยนั้นการลงทุนผมว่าค่อนข้างลำบากมาก ด้วยตัวเทคโนโลยีที่ขอแค่โทรศัพท์ยังต้องรอเป็นปีๆ
ทีวีที่การจะดูพวก Bloombreg หรือ CNN ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ต้องมีจานดาวเทียม พวกนี้ทำให้ผมนึกถึงการเปรียบเทียบยุคสมัยก่อนกับปัจจุบันแล้ว
มันมีอะไรที่พัฒนาในทางที่ดีบ้าง
การซื้อขาย ต้องโทรศัทพ์ไปสั่งคำสั่งซื้อขาย
และการเปิดพอร์ตการลงทุนนั้นต้องมีเงินเป็นแสนถึงจะเริ่มต้นกันได้
ในยุคปัจจุบันการลงทุนง่ายมาก
แค่คุณมีโทรศัพท์มือถือที่สามารถใช้โปรแกรมซื้อขายหุ้นกับสัญญาณโทรศัพท์
คุณก็สามารถสั่งซื้อหุ้นได้อย่างง่ายดาย
หนังสือพูดถึงกระแสในการลงทุนปัจจุบันผมเห็นหนังสือประเภท
VI จำนวนมากในตลาด มีทั้งของไทย ของต่างประทเศ
ทั้งแนวทางการลงทุน หรือ แนวคิดข้อสรุปจากนักลงทุนที่มีชื่อเสียง โดยส่วนใหญ่
ในหนังสือเหล่านี้ก็มีทั้งที่เป็นระดับโลก และ ไม่ได้สารถเลยก็มี แต่ที่แน่ๆ
หนังสือหุ้น การลงทุน ถูกจัดได้เป็นอีกหมวดหนึ่งในร้านหนังสือเลย
แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่า
ถ้าเกิดเศรษฐกิจถล่มหนังสือเหล่านี้จะหายไปในการล่มสลายของเศรษฐกิจอีกครั้งหรือไม่
ยิ่งสมัยนี้มีช่องทีวีที่เป็นเรื่องเศรษฐกิจการลงทุนโดยตรง
ให้ข้อมูลข่าวเกี่ยวกับบริษัทจดทะเบียน และ ให้ความรู้นักลงทุนอีกมากมาย
แถมยังชมย้อนหลังใน youtube ได้ด้วย
ส่วนข้อมูลการจดทะเบียนในกรณีที่เราอยากดูข้อมูลย้อนหลังนาน
ต้องไปที่ห้องสมุดตลาดหลักทรัพย์แต่สมัยนี้เรามี Internet ที่มีเว็บไซต์ของบริษัทจดทะเบียนที่เก็บข้อมูลทางการเงินและมี
Link การประชุมผู้ถือหุ้นด้วย
นั้นเป็นเรื่องที่ดีสำหรับนักลงทุน
ว่าข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ การเข้าถึงการลงทุนนั้น ทำได้ง่าย แต่ว่า การลงทุนนั้น
กำไรขาดทุนเป็นของคู่กัน ไม่ว่าสภาพแวดล้อมทุกอย่างจะดีขึ้นมากแค่ไหน
แต่สิ่งเราไมได้พัฒนาตามไปด้วยคือ จิตใจ เรายังมีความ โลภ และ กลัว
เป็นตัวขับเคลื่อนตลาดอยู่ไม่ว่าจะอีกกี่ปีก็ตาม
สุดท้ายผมก็คิดว่า
ของเหล่านี้ต้องวิวัฒธนาการต่อไปอีก
เพราะด้วยจำนวนคนที่มากขึ้นทำให้การทำเรื่องการลงทุนนั้นสามารถตอบสนองความต้องการของผู้คนจำนวนมากได้ด้วย
และเทคโนโลยี ทำให้ของเหล่านี้มีต้นทุนที่ต่ำลงและสามารถทำให้คนเข้าถึงได้ด้วย
ผมอยากให้เวลาผ่านไปอีกสัก 10 ปี อาจะมาเขียนอีกครั้ง และมาดูกันว่า สภาพตลาด
สภาพนักลงทุน ได้มีสภาพเป็นอย่างไรแล้ว อีก10ปี ดัชนีจะถึง
5000 หรือไม่ หรือ จะตกไปอยู่ต่ำกว่า 1000 อีกครั้ง
คงเป็นเรื่องที่ต้องมาดูกันอีกที นะครับ
โชคดีในการลงทุนครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น