บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก ตุลาคม, 2009

PANIC SELL การตกใจขาย และ ข่าวลือ

เขียนไว้เพื่ออธิบายคำศัพท์และปรากฎการณ์ช่วงนี้หน่อยนะครับ 2 วันนี้ ดัชนีหุ้นไทย SET Index ตกรวมๆกันไม่ต่ำกว่า 30 จุด (ยังไม่เปิดตลาดรอบบ่าย) แต่เมื่อวานสังเกตุได้ว่า Volum แน่นหนา 4หมื่นล้าน และหุ้นตกมาก ทำให้เห็นได้ถึงสัญญาณ PANIC SELL ในตลาดหุ้นไทย PANIC SELL เป็นการตกใจขาย กับสาเหตุที่เกิดขึ้น ไม่ว่าเกิดจากข่าวจริง หรือข่าวลือ เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ในตลาดหุ้นหลายครั้ง เช่น 911 หรือ วันที่ธนาคารกลางแห่งประเทศไทยประกาศใช้การสำรองการแลกเปลี่ยน แต่สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง เห็นจริง เป็นข่าวจริง ส่วนข่าวลือนั้น โดยนิยาม เป็น เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่มีใครยืนยัน หรือแหล่งข่าวไม่ยืนยันว่าเป็นความจริง แต่ในบางครั้งสิ่งที่เป็นข่าวลือนั้น อาจไม่เกิดขึ้นจริง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็ยังไม่จัดเจนทำให้บรรยากาศอารมณ์กลัวครอบงำการซื้อขาย ทำให้เกิด การ PANIC SELL อย่างต่อเนื่องได้ สิ่งทีเกิดขึ้น อาจเกิดโดยไม่ต้องตัวทั้งนักลงทุก ระยะยาว ระยะสั้น ใครเล่นสั้น อย่างไร ก็ ขาดทุนครับ ขนาดผมว่า แนวรับผมแน่นมากแล้ว ยังร่วงจนตกใจเหมือนกัน สุดท้าย ข่าวลือในตลาดนั้นเกิดขึ้นทุกวัน บางจริงบางเท็จบาง ส่งผลกระ

รู้จักตลาดหมี กระทิง

คำเปรียบเปรย ว่าตลาดหลักทรัพย์นั้น มีอยู่สัตว์สองตัวที่ใช้เปรียบเปรยคือ หมี กระทิง ซึ่งบางคนบอกว่า ภาวะการซื้อขายในตลาดมีลักษณะเหมือนนิสัยสัตว์ 2 ชนิดนี้ ตลาดหมี คือ หมีที่เชื่องช้าตบหนักสาหัสปางตาย ใช้เวลาภาวะตลาดหุ้นตกหนักๆ หรือ ตลาดหุ้นมีมูลค่าการซื้อขายน้อยมากจน คนบอกเหมือนหมีจำศีล ตลาดกระทิง คือ กระทิงแข็งแรงปราดเปรียว ว่องไว วิ่งไล่แทงตลอด ใช้เปรียบเทียบสภาะตลาดที่มีการซื้อขายคึกคัก มูลค่าซื้อขายวิ่งไม่หยุดในแต่ละวัน เหมือนกับกระทิงไล่ขวิด ซึ่งที่สำคัญคือ ตลอดเวลา หมี และ กระทิง เป็นของคู่กันเหมือน ขาวกับดำ หยิงหยาง ในประวัติศาสตร์การลงทุนของโลกนี้ ไม่เคยมี ตลาดไหน เป้นหมีตลอดเวลา หรือ เป็นกระทิงตลอดเวลา มีแต่สลับๆ กันไปตลอดเวลา ซึ่งบางคนไม่เข้าใจในสัจธรรมในข้อนี้ ทำให้เจ็บตัวล้มตาย เพราะ หมี และ กระทิงมาเยอะแล้ว การที่เราสามารถเข้าใจถึงสภาพวะ หมี หรือ กระทิงได้ ก็จะทำให้เราสามารถปรับกลยุทธ์ในการลงทุนได้ และสามารถทำให้เรามีการลงทุนได้มีประสิทธิภาพตามช่วงเวลานั้นๆ นะครับ

รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ไม่มีแพ้แน่นอน

รู้เขารู้เรา เป็นคำกล่าวของซุนวู ผู้เขียนตำราพิชัยสงคราม ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ทุกโอกาส ในปัจจุบันมีคำว่า SWOT ซึ่งเป็นหลักการค้นหา จุดอ่อน จุดแข็ง โอกาส ข้อเสียเปรียบ ซึ่งนิยมใช้กับทางธุรกิจ เมื่อเราอยากลงทุน สิ่งที่เราต้องรู้ก่อนคือ เรา เรามีความสามารถอะไรบ้าง เรามีรายได้เท่าไร เรามีแหล่งรายได้อะไรบ้าง เรามีรายจ่ายเท่าไร เรามีภาระค่าใช้จ่ายที่จำเป็นอะไรบ้าง เรามีเงินออมเท่าไร และ เราเหมาะสมกับการบริหารเงินออมเราแบบไหน ซึ่งถ้ารู้เราก่อน ก็จะบอกได้ว่าเรามีต้นทุนอยู่ไหน และเหมาะสมกับอะไร ซึ่งการลงทุนแต่ละแบบนั้น ก็มีสภาพการลงทุนแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับว่าเรามีความสามารถอะไร เงินทุนเท่าไร และมีโอกาสไหม บางคนเหมาะสมกับการลงทุนทางตรง คือ ลงทุนค้าขายเอง เป็นโรงงานเอง เป็นตน บางคนมีการงานประจำอยู่แล้ว ไม่กล้าใช้ตัวเองเป้นเจ้าของกิจการ ก็ สามารถลงทุนทางอ้อมได้ ไม่ว่าซื้อ ทอง หุ้น ก็อย่างน้อยก่อนทำไรอยากให้รู้ตัวเองก่อนว่าทำไรได้ไม่ได้ เพื่อให้เหมาะสมกับสิ่งที่เราทำลงไปนะครับ