ภาวะตลาดโลกกับอนาคตที่มองเห็นและผู้รู้อนาคตจากกระทู้ต่างๆ

ที่ผ่านๆมา ผมได้พูดถึงแต่ตลาดหุ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นในบ้านเรา แต่ความจริงเราอยู่ในโลกระบบเศรษฐกิจแบบทุนิยม ซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจส่วนใหญ่ที่เกือบทุกประเทศใช้ในเวลานี้อยู่

ซึ่งตลาดหุ้นบ้านเรานั้นเล็กมากเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในโลกนี้ เรียกว่าเล็กจนไม่อาจมีอำนาจต่อเศรษฐกิจโลกสักเท่าไร จึงเกิดเป็นอย่างนี้อยู่บ่อย

เช่น ตลาดฝั่งอเมริกา เด้งแรงๆ บ้านเราก็จะเด้งแรงๆด้วย ตัวอย่างเมื่อวานนี้ ดาว์โจน ทะลุ 10000 ครั้งแรกในรอบเกือบปี เหมือนกัน บ้านเราก็เลยได้อานิสง เด้งตามด้วย แม้จะไม่ทะลุ 700 จุด ก็ตาม (แม้ความจริงควรเป็น 800 ก็ตาม) แต่ก็ทำหุ้นที่พักฐานมา สัปดาห์กว่าๆ ได้วิ่งกันบ้าง

จะมีนานๆ ทีที่ตลาดหุ้นไทยจะเป็นตัวของตัวเอง เช่นลงสวนกับภูมิภาคหรือโลก แต่ก็นับเป้นโอกาสที่น้อยมากที่จะเกิดได้

ซึ่งก่อนวันนี้ ผมก็กังวลเหมือนกันจากการตัดสัมพันธ์ทางการฑูตกับกัมพูชา นึกว่า อย่างไร หุ้นต้องตกกันเละแน่ แถมยังไปนั้งอ่านพวกตามบอร์ดหุ้นต่างๆ (ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่ชอบ ปชป) แล้วก็สาปแช่งว่า พร่งนี้ชิบหายกันแน่ พวกดีๆหน่อย ก็บอกว่า กัมพูชา กับ บ้านเรานั้นค้าขายกันน้อย บางก็หากันตลอดว่า บ. อะไรทำธุรกิจใน กัมพูชาบ้าง ยังมีการประกาศอีก ว่า ล้างพอร์ตแล้ว รอช้อน

อ่านให้ดีๆ นะครับ เนี่ยละคือเหตุการณ์จริงๆ ตามบอร์ดหุ้นที่คึกคัก หลายๆ ที่ ทุกคนต่างบอกว่ามันต้องเป็นอย่างนู้นอย่างนี้ แต่อนาคตก็คืออนาคตเราอยู่กับความเสี่ยงตลอดเวลาขอให้เราตั้งมั่นอยู่ในความไม่ประมาณ

ถ้าเรารู้ว่าเรามีแนวรับ และ cutloss แค่ไหน เราปฎิบัติตามนั้น จะไม่กังวลมาก (อย่ากังวลอย่างผมนะครับ ปวดต้นคอเลย) ซึ่งผมก็ตัดสินใจในคืนนั้น ว่าจะสร้าง แนว Cutloss ใหม่

แต่สรุป เสียเวลาเครียดปล่าว หุ้นวิ่งไปอีกระดับ ทำให้ต้องมานั่งเขียน Cutloss ใหม่อีก

ซึ่งการที่ผมพูดอย่างนี้ เพราะ เมื่อก่อนสัก ปี47 ผมบ้าอ่านกระทู้ตามบอร์ดหุ้นมาก และก็เจ๊งจนไปนานหลายรอบ จนสรุปได้ว่า พวกนี้เค้าก็ไม่ต่างกับเราเท่าไรหรอกครับ เป็นนักลงทุน เป็นแม่งเม่า มีความผิดพลาดได้เหมือนเรา อาจจะจริงที่ว่าเซียนอยู่เงียบๆ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร ซึ่งความจริงผมก็ไม่เคยเจอเหมือนกันหรือเจอมันก็บอกแล้วผิดตลอด

ซึ่งผมว่า ถ้าผมขาดทุนเจ๊งด้วยการตัดสินใจของตัวผมเอง ผมยังรู้สึกดีกว่าที่ไปด่าว่าไอ้กระทู้นั้นมันบอกงี้แล้วทำเจ๊ง อย่างน้อย เจ๊งด้วยตัวเองผมยังโทษว่าศึกษาไม่พอต้องหาความรู้เพิ่มอีก แต่ถ้าเจ๊งด้วยคนอื่น เราก็จะคอยแต่ให้คนอื่นมาเขียนอีก ถ้าดีเราก็จะเชิดชูเค้า แต่ถ้าพลาดเราจะสาปแช่งเค้า ถ้าเป้นอย่างนั้นจริงๆ ผมว่า เราไม่ได้อะไรเลย นอกจากเก่งให้การสรรเสิญ เยินยอ กับ หาคำด่าคนอื่น ไม่ได้มองตัวเองว่ามีไรพัฒนาบ้าง

ประสบการณ์มันสอนเยอะมากครับ 6 ปี ของผม ได้เห็น คลื่นใหญ่ครบ 1 คลื่นแล้ว ได้อะไรเยอะมาก อย่างน้อยก็แค่ฟังนักวิเคราะห์ แต่ไม่เชื่อ อ่านกระทู้แล้วไม่ทำตามทุกอย่าง

ก่อนจบบทความนี้ กระทู้ที่มีประโยชน์ความจริงมีมากๆๆๆๆๆๆ ซึ่งความรู้ช่วงแรกๆผม ก็สะสมมาจากที่กระทู้เนี่ยละครับ

แต่กระทู้บางจำพวกที่ไม่มีประโยชน์เลย คือ

  1. พวกอวดร่ำรวยกำไรเยอะเก่งมากขายยอดดอย พวกนี้ทำให้ตลาดหุ้นบ้านเรามีแต่แมงเม่า ถ้ามีอย่างนี้ ก็ขอร้องว่าอย่าอ่าน อ่านไปไม่มีประโยชน์ ไม่ได้ตังกับมันแถมไม่เกิดสาระกับชีวิต เพราะส่วนใหญ่ จะไม่ค่อยเจอว่าเมื่อขาดทุนแล้วจะโม้ให้ฟัง ว่าขายหมูถูกเละเลยขายเสร็จหุ้นวิ่งไปไหนก็ไม่รู้ ทำให้คนเข้าใจผิดว่าหุ้นนะง่าย ความจริงยากกว่านั้นเยอะ
  2. พวกกูถูกแน่เชื่อผมดิ อันนี้อันตรายสุด ถ้าถูกไม่มีปัญหา เพื่อคนหัวอ่อนเชื่อ แล้วดันผิดขึ้นมา อีกอย่างผมพยายามหามานานแล้วที่มันบอกแล้วถูกตลอดไม่เคยผิด หนำซ้ำบางครั้งโชว์การปล่อยไก่ให้เห็นอีก เช่น หมดพอร์ตพร่งนี้รับรองแดงเถือก พอเช้าตลาดมันวิ่งทะลุมา ก็บอกเดี๋ยวดูรอบบ่าย แดงเถือก เจ๊งกันไม่รู้ด้วยนะ ถ้าบ่ายวิ่งอีก ก็บอก พรุ่งนี้ก็ต้องแดง พอไม่แดง ยังบอกอีกสัปดาห์หน้ามันแดงแน่นอน เออ สุดท้ายมันคงถูกจนได้ละ
  3. พวกด่าสารพัด รัฐบาลบริหารงานพลาด ฝ่ายค้านค้านไรไม่รู้เอาข้อมูลมาทำหุ้นตก ม๊อบสร้างความปั่นป่วนให้ชาติทำลายบรรยากาศการลงทุน คนปันหุ้นอันนี้น่าด่าแต่หุ้นบางตัวปั่นไงก็ไม่ได้หรอกถ้าเงินไม่ถึงจริง ต่างชาติ Bla bla bla ด่าคนเดียวไม่พอ เรียกร้องหาแนวหนุนอีก แต่ไม่เคยด่าตัวเอง เช่น ซื้อตอนใกล้จบรอบทำไม ไม่ดูพื้นฐานก่อน เหมือนกันอ่านแล้วจะไม่โทษตัวเอง เมื่อไม่โทษตัวเอง จะไม่ศึกษาต่อ ไม่ศ๊กษาต่อก็จะไม่ได้เรียนรุ้ไรเพิ่ม จากนั้นก็จะพลาดซ้ำๆ แล้วก็จะด่าซ้ำ ข้อดีคืออย่างน้อยมันได้ระบายอารมณ์ ยิ่งเจอคนมีแนวคิดเดียวกับเรา อ่านแล้วอาจสบายใจ
  4. สุดท้ายพวกนี้ ทุเรสสุด คือ ชอบยัดความคิดเราให้คนอื่น เช่น คิดว่า คนต้องคิดอย่างนี้ ทำอย่างนี้แล้วคนนี้จะโกรธ เหมือนพวกอีแอบโรคจิต เค้าไม่พูดดันไปพูดแทนเค้า เป็นที่มาของกระทู้ข่าวลือต่างๆ อันนี้อาจลามมาถึงคนใกล้ตัวด้วย
ทั้งหมดก็เป็นความคิดเห็นจากประสบการณ์ที่ผมเจอมา อย่างไรเสีย ผมคิดว่าหุ้นกับการลงทุนนั้นเป็นตัวเดียวกัน ส่วนอื่นๆ เป็นสภาพแวดล้อมส่งผลในระยะสั้นถึงยาว ถ้าระยะสันไม่มีไรต้องกังวล แต่ถ้าส่งผลเป็นระยะยาวอันนี้น่าคิด

ผมยังคิดว่าการเริ่มต้นในหุ้น ควรศึกษาพวก VI การลงทุนเน้นมูลค่าให้เรียบร้อยก่อน ก่อนมาดูพวก Timing หรือ เทคนิค พอเหนือชั้นแล้ว ค่อยมาดูพวกจิตวิทยาของตลาด คงไม่ยากสำหรับ ผู้ที่ต้องการศึกษานะครับ

ผมอยากให้มีนักลงทุนที่เก่งๆ และมีคุณภาพ ได้ยกระดับการเป็นนักลงทุน ไม่ให้มีสถานะเหมือนนักพนันนะครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เครื่องหมาย NP ของตลาดหลักทรัพย์

StarfishX: สำหรับการดึง SET data

PPE vs Rev, Gross margin, New Margin