บันทึกการลงทุน 6/5/2555 ตอน ค่า P/E โดยรวมในตอนนี้ กับ SET P/E 16 เท่า
ผ่านพ้น วันเสาร์ที่ 5 เดือน 5 ปี 2555 มาแล้ว ซึ่งเป็นวันที่คนแต่งงานเยอะมากครับ อย่างน้อย ผมก็มีทับไป 3 งาน ซึ่งขอให้ชีวิตคู่แต่ละคนเริ่มด้วยดี และอย่าลืมวางแผนการเงินให้กับชีวิตคู่ด้วย
ส่วนเรื่องราวที่ผมต้องการผมวันนี้ คือภาพรวมของตลาดหลักทรัพย์ที่เปลี่ยนไป จาก 2-3 ปี่ที่แล้ว จากอัตรา Price earning ratio ที่ผมได้พูด ความหมายไว้ที่บทความก่อนหน้า
http://gkenginvest.blogspot.com/2012/05/pe-ratio.html
http://gkenginvest.blogspot.com/2010/06/pe-ratio.html
ภาพรวมตลาด P/E ของตลาด ตอนนี้ บริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงสุด 50 ตัวแรกของตลาด มีP/E < 10 เพียง 5 ตัวเท่านั้น (ไม่นับตัวขาดทุนนะครับ)
เป็นซึ่งเป็นหมวดพลังงาน 4 ตัว กลุ่มการเงิน 1 ตัว (อยากรู้ตัวไหนลองหาเองนะครับ ^^)
http://marketdata.set.or.th/mkt/marketsummary.do?language=th&country=TH ของวันที่ 4
สำหรับผม SET มี P/E 16 ถือว่าสูงมากในรอบหลายๆปี และผมก็ไม่ชิน กับมันเลย
ซึ่งหมายความว่า ตลาดเราเร่ิม มีคนให้ความสนใจสูงมากขึ้น ทำให้ราคากับการเติบโต เริ่มสูงมาก ส่วนจะมองวา่แพงหรือไม่ อันนี้แล้วแต่คนคิดครับ
ส่วนตัวผม ผมแค่รู้สึกไม่คุ้นกับลักษณะตลาดแบบนี้ เมื่่อก่อนผมชอบใช้วิธีง่ายๆ ในการหาหุ้น คือ วัดตาม P/E ปันผล และ P/BV ก่อน แล้วค่อย ลงข้อมูลด้านคุณภาพ
ซึ่งวิธีนี้ให้ความสำคัญเชิงปริมาณ ถ้าราคาปรับตัวสูงขึ้น เราจะต้องให้คิดลำบากขึ้น ต้องเปลี่ยนวิธีเลือกหุ้นเป็นเชิงคุณภาพมากขึ้นแทน
สำหรับผม วิธีเชิงคุณภาพ มันดูให้แตก ดูให้ขาด มันยากครับ แต่ถ้าดูแล้วสำเร็จ หรือ ตรงกับที่เราคิดไว้ มันจะทำให้ภาคภูมิใจมาก :D
ซึ่งนาทีนี้ ผมจะไม่มอง อดีต(ในงบการเงิน)มาก แต่จะมอง Trend ของธุรกิจว่า แข่งขันได้ไหม โตต่อได้ไหมมากกว่า
เริ่มดูกราฟบ้าง
แต่สุดท้วย ถ้ามันเติบโตได้ ราคามันจะกลับมาสะท้อน การเติบโตเอง ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่เหมาะสมกับหุ้นตัวนั้น
แต่ถ้าไม่สะท้อนการเติบโต ก็จะทำการปรับฐานลงมา ซึ่งถ้ามันเหมาะสม ก็น่าซื้อครับ
สุดท้าย การลงทุน ขึ้นอยู่กับตัวท่านละครับ จะใช้วิธีไหนเพื่อให้ไปถึงจุดนั้น ผมขอให้ประสบความสำเร้จครับ
ขอให้โชคดีในการลงทุนนะครับ
ส่วนเรื่องราวที่ผมต้องการผมวันนี้ คือภาพรวมของตลาดหลักทรัพย์ที่เปลี่ยนไป จาก 2-3 ปี่ที่แล้ว จากอัตรา Price earning ratio ที่ผมได้พูด ความหมายไว้ที่บทความก่อนหน้า
http://gkenginvest.blogspot.com/2012/05/pe-ratio.html
http://gkenginvest.blogspot.com/2010/06/pe-ratio.html
ภาพรวมตลาด P/E ของตลาด ตอนนี้ บริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงสุด 50 ตัวแรกของตลาด มีP/E < 10 เพียง 5 ตัวเท่านั้น (ไม่นับตัวขาดทุนนะครับ)
เป็นซึ่งเป็นหมวดพลังงาน 4 ตัว กลุ่มการเงิน 1 ตัว (อยากรู้ตัวไหนลองหาเองนะครับ ^^)
http://marketdata.set.or.th/mkt/marketsummary.do?language=th&country=TH ของวันที่ 4
สำหรับผม SET มี P/E 16 ถือว่าสูงมากในรอบหลายๆปี และผมก็ไม่ชิน กับมันเลย
ซึ่งหมายความว่า ตลาดเราเร่ิม มีคนให้ความสนใจสูงมากขึ้น ทำให้ราคากับการเติบโต เริ่มสูงมาก ส่วนจะมองวา่แพงหรือไม่ อันนี้แล้วแต่คนคิดครับ
ส่วนตัวผม ผมแค่รู้สึกไม่คุ้นกับลักษณะตลาดแบบนี้ เมื่่อก่อนผมชอบใช้วิธีง่ายๆ ในการหาหุ้น คือ วัดตาม P/E ปันผล และ P/BV ก่อน แล้วค่อย ลงข้อมูลด้านคุณภาพ
ซึ่งวิธีนี้ให้ความสำคัญเชิงปริมาณ ถ้าราคาปรับตัวสูงขึ้น เราจะต้องให้คิดลำบากขึ้น ต้องเปลี่ยนวิธีเลือกหุ้นเป็นเชิงคุณภาพมากขึ้นแทน
สำหรับผม วิธีเชิงคุณภาพ มันดูให้แตก ดูให้ขาด มันยากครับ แต่ถ้าดูแล้วสำเร็จ หรือ ตรงกับที่เราคิดไว้ มันจะทำให้ภาคภูมิใจมาก :D
ซึ่งนาทีนี้ ผมจะไม่มอง อดีต(ในงบการเงิน)มาก แต่จะมอง Trend ของธุรกิจว่า แข่งขันได้ไหม โตต่อได้ไหมมากกว่า
เริ่มดูกราฟบ้าง
แต่สุดท้วย ถ้ามันเติบโตได้ ราคามันจะกลับมาสะท้อน การเติบโตเอง ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่เหมาะสมกับหุ้นตัวนั้น
แต่ถ้าไม่สะท้อนการเติบโต ก็จะทำการปรับฐานลงมา ซึ่งถ้ามันเหมาะสม ก็น่าซื้อครับ
สุดท้าย การลงทุน ขึ้นอยู่กับตัวท่านละครับ จะใช้วิธีไหนเพื่อให้ไปถึงจุดนั้น ผมขอให้ประสบความสำเร้จครับ
ขอให้โชคดีในการลงทุนนะครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น