เริ่มต้นปีการลงทุนและการออม 2554

ปีที่แล้ว ผมนั่งเซ็งและน้ำตาไหลกับการที่ห้องสมุดมารวยโดนเผาไปต่อหน้าต่อตา ห้องสมุดตลาดหลักทรัพย์เป็นสถานที่แรกๆ ที่ผมไปฝังตัวอยู่ช่วงเรียนจบใหม่ๆ (ก่อนเป็นห้องสมุดมารวย ที่ผู้คนล้นทะลัก เด็กวิ่งกันเต็มไปหมด ใครจะไปเชื่อว่าเมื่อก่อนบางวัน มีผมนั่งอยู่คนเดียว และเป็นสถานทีแรกๆ ที่ผมหัดอ่าน Textbook)

ส่วนปี 53 ต้องเรียกว่าเป็นปีมหัศจรรย์ เลยทีเดียว แม้จะมีเหตุการณ์วุ่นวายเผาบ้านเมือง ยิงกันตาย วิกฤตการณ์การเมืองในประเทศไทย แต่ตลาดหุ้นกับวิ่งทะลัก 1000 จุดและยืนได้สบายๆ ชิวๆ จนหมดปี2553 จนทำให้นักลงทุนแถมลืมไปว่า มีอะไรเกิดขึ้น

ในแง่เศรษฐศาสตร์มหภาคได้มีสิ่งหลายอย่างที่ตอนเรียนไม่เคยคิดว่าได้เห็น

ตัวเลขเศรษฐกิจที่โตสวนทางกับยุโรธและอเมริกา ค่าเงินบาทแข็ง การย้ายขั้วอำนาจทางเศรษฐกิจสู่เอเชีย ก็ได้เกิดให้เห็นกันในปีที่แล้ว คือไม่ว่าใครจะบอกอย่างไร มันเป็นสัญญาณของการเติบโตของเศรษฐกิจจริงๆ ไม่ว่าใครจะเถียงอย่างไรก็ตาม อาจมีปัญหามหภาค (Marco Economic)ที่น่าจะกระทบตัวพวกเราในส่วนของ จุลภาค(Micro Economic) เช่น
  • หนี้สาธารณะ (แต่ถ้ารัฐไม่อัดฉีดหนักๆ ก็ฟื้นยาก) คิดว่าก็เตรียมหาทางจ่ายภาษีกันให้ได้ตามเป้าแล้วกัน หาช่องทางการลดภาษีให้ถูก LTF RMF ประกัน อนุโมธนาบัตร หรืออื่นๆ แต่อย่าไปหนีภาษีกันนะครับเพื่อประเทศของเรา

  • ความสามารถในการแข่งขัน อันนี้ก็อย่าไปหวังพึ่งใครมาก พัฒนาตัวเองให้เทพๆ ไว้ก่อนดีที่สุด ยิ่งต่อไปเป็นประชาคมอาเซียนเมื่อไร เราอาจได้ทำงานกับ อินโด มาเล และคนต่างชาติมากขึ้น ถ้าเราเก่ง ขำนาญในสิ่งที่ทำอยู่ ก็อาจแข่งได้สบาย

  • การดึดการลงทุนโดนตรง มาลงทุน ปัญหาที่ติดคือภาษาครับ ถ้าเราได้ภาษาดี โอกาสอันเยี่ยมของการได้ทำงานกับบริษัทข้ามชาติ ก็เยอะขึ้น (ความเป็นจริงอย่างบริษัทพวกนี้มักจะจ่ายดีกว่าบริษัททั่วไปในไทย)

  • เงินเฟ้อ ภัยน่ากลัวที่สุดที่มองไม่เห็น คือการลดค่าของเงินที่ถืออยู่ อยากให้แบ่งเงินไปลงทุนบ้าง อะไรบ้าง เพราะส่วนใหญ่การลงทุนขั้นพื้นฐานสุดคือ การออมเงิน การฝากเงินในธนาคารดอกเบี้ยเงินฝากในธนาคารนั้น ซึ่งผมก็ลองดู ไม่เคยเห็นธนาคารไหนให้ดอกเบี้ยเงินฝาก หรือพวกเงินฝากระยะสั้น ชนะเงินเฟ้อได้สักที (ตั้งแต่ตอนเรียนเศรษฐศาสตร์ละ)

  • ของแพงขึ้น อันนี้ตามมากับเงินเฟ้อ ทำใจครับ หรือไม่ก็เลิกใช้ของนั้นไป หาสินค้าทดแทน ให้มันเป็นไปตามกลไกตลาด แม้จะมีคนพยายามบิดเบือนตลอดเวลาก็ตาม
นอกนั้นก็คิดไม่ออกครับ อะไรน่ากังวลเท่าไร ซึ่งสิ่งที่ดีๆ ที่จะตามมากับการขยายตัวทางเศรษฐกิจก็ได้แก่ การจ้างงาน คนตกงานน่าจะน้อยลง การลงทุนทางตรง น่าจะง่ายขึ้น ดอกเบี้ยเริ่มขึ้น ดีกับคนฝากเงิน

สุดท้ายเรื่องเศรษฐกิจไม่มีสี ไม่ขั้ว ไม่มีฝ่าย ไม่มีชนชั้น ประชาชนตีกัน ก็กระทบเศรษฐกิจ รัฐบาลมีเรื่องกัน ก็กระทบต่อเศรษฐกิจ นักลงทุนเซ็งเป็ดไม่กล้าลงทุน เพราะประชาชนตีกัน รัฐบาลมีเรื่องกัน ก็เป็นเรื่องของเศรษฐกิจ ซึ่งนั้นเป็นภาพของ เศรษฐกิจมหาภาคที่อยากให้คิดกันหน่อย

ส่วนภาคประชาชน บริษัท อุตสาหกรรมทั้งหลาย ที่ถือเป็นเศรษฐกิจจุลภาค ถ้ามัวแต่ไปนั่งด่า นั่งฟังเค้าด่า กลับบ้านมานอนตีพุงกลิ้งไปกลิ้งมา ไม่คิดว่าช่องทางพัฒนาสิ่งที่ตัวเองให้มันดีขึ้น ไม่ว่าจะเปลี่ยนเป็นคนของตัวเองขึ้น หรือเปลี่ยนสี เปลี่ยนฝั่ง เปลี่ยนฝาก ก็อย่าคิดว่าเค้าจะบรรดาล เนรมิตรเหมือนเสกคาถา เป่าอาคม ให้ทุกอย่างได้ตามที่ท่านหวังเลย

ถ้าไม่ช่วยตัวเองก่อน คนอื่นมาก็ไม่มีใครช่วยใครได้หรอกครับ ก่อนที่จะว่า หรือ ด่าภาพใหญ่ ให้มามองภาพเล็ก หรือตัวเราเองก่อนดีกว่า ว่าเป็นอย่างไร พัฒนาอะไรได้ไหม

โชคดีกับการลงทุน การออม การใช้ชีวิตในปี 2554 นะครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เครื่องหมาย NP ของตลาดหลักทรัพย์

StarfishX: สำหรับการดึง SET data

PPE vs Rev, Gross margin, New Margin