บันทีกการลงทุน 24/09/2554 ตอน เศรษฐกิจรูป W

ในวันที่ผมเขียน ตลาดหุ้นไทยได้หลุด 1000 จุดไปเรียบร้อยแล้ว แถมเป็น 2 วันที่ ดัชนีตกลงมาร่วมเกือบ 100 จุด

สาเหตุที่เกิดขึ้นคือ วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นมาเป็นระยะๆ จาก ยุโรป และ อเมริกา เหมือนถึงจุดหนึ่ง ไม่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ และ รัฐบาลฝั่งกลุ่ม EU ไม่สามารถหาทางแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ จากหนี้ภาครัฐ และ ปัญหาการว่างงาน

มาตรการที่ออกมาฉาบฉวยไม่สามารถแก้ปัญหาได้จริง ทำให้เหมือนว่าเศรษฐกิจนั้นพ้นการถดถอยแล้ว แต่เมื่อหมดมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐแล้ว หรือบอกว่าภาครัฐหมดความสามารถในการกระตุ้นแล้ว ก็ทำให้ทุกอย่างกลับมาสู่ที่เดิม

นี้คือเศรษฐกิจแบบตัว W คือ ตกลงมาแล้วทำท่าจะเด้นไปได้พอถึงจุดหนึ่งจะตกอีก รอบนี้ใช้ฐาน 2008 ไป 2011 สรุป 3 ปี ซึ่งปี 2010 เป็นปีที่เหมือนทุกอย่างจะกลับมา แต่ปีนี้ก็ทำให้เห็นว่าทุกอย่างยังไม่สามารถวิ่งฝ่าไปได้

บางคนบอกว่า ปัญหาที่เกิดจะร้ายแรงกว่า ปี 2008 อีก แต่สำหรับผมตอนนี้ ยังไม่เกิดการล้มของบริษัทยักษ์ใหญ่ให้เห็นอย่างชัดเจน แค่คาดหวังว่า คงส่งผลให้กำไรแต่ละบริษัทลดลง แต่คงไม่ถึงกับต้องล้มไป

แต่ที่แน่นอนคือ รัฐบาลแต่ละประเทศต้องแบกหนี้ก้อนมหาศาลไว้ ที่ต้องหาทางมาชำระให้ได้ ซึ่งจะทำให้การกู้หาเงินมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เป็นการซ็ำเติมปัญหาเก่า รวมทั้งการโดนปรับลดเครดิต ส่งผลให้ต้นทุนการกู้เงินสูงขึ้นอีก

สิ่งที่คาดว่าอาจต้องเจอกันต่อไปคือ การรัดเข็มขัด ตัดรายจ่ายภาครัฐ แน่นอนว่า กลไกการกระตุ้นเศรษฐกิจจะหายไปหนึ่งตัวคือ G

เมื่อกลไกภาครัฐด้านวิธีการอัดค่าใช้จ่ายลงไป ไม่สามารถทำได้อีกแล้ว สิ่งที่เหลือ ก็คือต้องกลับมาที่ภาคเอกชน ไม่ว่าการบริโภคภายใน C การลงทุน I การค้าระหว่างประเทศ X-M คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามวิถีฟื้นฟูของมัน

แต่สำหรับผม สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคือ ปัญหาการว่างงาน ในหลาย ๆ ประเทศ มีสวัสดิการดี การเก็บภาษีสูง ทำให้ต้นทุนการว่างงานนั้นต่ำ เป็นแรงจูงใจให้คนอยากว่างงานมากกว่า รวมทั้งภาคอุตสาหกรรมหลายๆ ตัวของฝั่งยุโรป และ อเมริกา ไม่สามารถสู้ จีน อินเดีย ได้ด้วยต้นทุนที่สูงกว่ามาก

วิธีที่แย่ที่สุดคือ การปล่อยให้ค่าเงินของแต่ละประเทศอ่อนลงไป จนต่ำกว่าประเทศคู่แข่ง ประเทศที่เป็นนายทุนจะกลับไปจ้างแรงงานประเทศเหล่านั้นแทน (ตามความน่าจะเป็นของเศรษฐศาสตร์ แต่คงไม่มีวันเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน)

นั้นคือสิ่งที่จะเกิดในอนาคตว่าจะมีนักเศรษฐศาสตร์สำนักไหน หาวิธีพิสดารแก้ไข้ปัญหาครั้งนี้ได้

แต่สิ่งที่ผมชอบมากที่สุดในการเกิดเศรษฐกิจถดถอย (ณ ขณะที่ผมมีรายได้ประจำจากการทำงาน ผมเคยเจอช่วงไม่มีรายได้ประจำ ตอนปี 2008-2009 ยอมรับว่าหนักมาก)

  • ของต้องถูกลง สังเกตุจากสินค้าโภคภัณฑ์ว่า ราคาตกลงอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็น น้ำมัน ทอง ซึ่งทำให้ต้นทุนทางการผลิต ธุรกิจหลักลดลง ส่งผลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น (แม้กำลังซื้อจะหดไปด้วยก็ตาม)
  • ตลาดหุ้น ราคาต้องลง อย่างมีเหตุผล และไม่มีเหตุผล แม้ธุรกิจอาจจะกำไรลดลงจากกำลังซื้อหดตัวของต่างประเทศ ซึ่งที่จะต้องเจอหนักๆ คือ กลุ่มบริษัทเน้น ส่งออก สินค้าฟุ่มเฟือย หรือพวกที่มีตลาดอยู่ยุโรป อเมริกา แต่ถ้าระบบบริษัทแข็งแกร่ง สามารถฝ่าวิกฤตไปได้ ต่อไปเมื่อเศรษฐกิจกลับ จะเป็นหุ้น Turn around ชั้นเยี่ยม (ช่วงนี้อาจเป็นจุดกำเนิดของหุ้น 10 เด้งได้)
สำหรับคนที่เพิ่งเข้าตลาดจากการได้รับรู้และเห็นพวกที่ได้กำไรไปก่อนหน้า ผมเข้าความรู้สึกนะ อาจเหมือนฟ้าถล่มดินทลาย พรุ่งนี้จะไม่มีคำว่าขึ้นได้อีกแล้ว แต่ขอให้รู้ไว้ว่า ระยะการเกิดวิกฤต ไม่ได้สั้น หรือ ยาวเกินไป โอกาสมีอยู่เสมอ

ผมเคยอ่านบทความของพวก VI ทั้งหลาย เข้ามักจะทำกำไรได้น้อยกว่ามาตรฐานของตลาด เมื่อตลาดเป็นกระทิง แต่ช่วงตลาดตกต่ำเป็นช่วงที่ VI ทั้งหลายจะทำกำไรได้มากกว่ามาตรฐาน ซึ่งถ้ารอบนี้เป็นแบบปี 2008 ก็ได้เวลาที่ VI เกิดกันแล้ว

และทุกวันนี้ ท่านเลือกลงทุนกันแบบไหน มีความเสี่ยงเยอะรึปล่าว อยากให้ถามตัวเองอยู่ตลอดว่าที่ทำการลงทุนทีี่มีความเสียง

"ถ้าได้จะได้อะไร ถ้าเสียจะเสียอะไร"

ขอให้ทุกท่านโชคดีมีชัยในการลงทุนครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เครื่องหมาย NP ของตลาดหลักทรัพย์

StarfishX: สำหรับการดึง SET data

PPE vs Rev, Gross margin, New Margin